• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Ailie662

#3821


วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน 2564 สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ร่วมกับ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) และคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมมือดำเนินโครงการการปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรมไทยสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อยกระดับภาคธุรกิจ 5 คลัสเตอร์อุตสาหกรรม และสอดคล้องกับนโยบายภาครัฐ BCG ในฐานะวาระแห่งชาติ

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า สภาอุตสาหกรรมฯ ได้ร่วมผลักดันและดำเนินงานตามนโยบาย BCG ของประเทศ ภายใต้ 3 กลยุทธ์ คือ 1) การพัฒนาโมเดล BCG และการขยายผล 2) การพัฒนาและถ่ายทอดองค์ความรู้และประสบการณ์ และ 3) การพัฒนามาตรฐานและการสนับสนุนด้านนโยบาย โดยมีเป้าหมายให้เศรษฐกิจเติบโตและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มีการใช้ทรัพยากรบริสุทธิ์น้อยลง และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เกิดเป็นรูปธรรม

โดยมีกิจกรรมสำคัญ อาทิ การส่งเสริม Smart Agriculture Industry การพัฒนา Platform การบริหารจัดการวัสดุที่ไม่ใช้แล้วหรือที่เรียกว่า "Circular Material Hub" การจัดทำข้อตกลงร่วมบรรจุภัณฑ์พลาสติก PET ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การส่งเสริมการจัดขยะพลาสติกภายใต้การสนับสนุน AEPW การพัฒนาอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ รวมถึงโครงการการปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรมไทยสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน ที่เป็นความร่วมมือระหว่างสภาอุตสาหกรรมฯ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) และคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


รศ.ดร.สิรี ชัยเสรี ผู้อำนวยการ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) กล่าวว่า ในฐานะผู้ให้ทุนการสนับสนุนการดำเนินโครงการฯ ได้เล็งเห็นถึงบทบาทภาคอุตสาหกรรม ที่เป็นเครื่องจักรสำคัญในการขับเคลื่อน BCG ให้เกิดขึ้นจริง ซึ่งโครงการฯ จะเน้นการศึกษาวิจัย BCG Model ในทางวิชาการและสร้างการเรียนรู้ แลกเปลี่ยนแนวทางการดำเนินธุรกิจ BCG เพื่อนำไปสู่การปรับใช้ในทางธุรกิจให้เกิดขึ้นจริง หลังจากที่ผลการศึกษาเสร็จสิ้น บพข. และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องมีความพร้อมที่จะสนับสนุนผู้ประกอบการในโครงการ ด้วยนโยบายการสนับสนุนทางการเงิน ภาษี การลงุทน กฎระเบียบ การพัฒนาทรัพยากรบุคคล โครงสร้างพื้นฐาน การวิจัยและพัฒนาและการตลาด เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถสร้างประโยชน์จากผลการวิจัยโครงการฯ ให้เกิดขึ้นจริงกับธุรกิจ

ศ.ดร.จักรพันธ์ สุทธิรัตน์ รองอธิการบดี ด้านการวิจัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความสำคัญกับนโยบาย BCG เพื่อให้สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการด้านการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG พ.ศ. 2564-2570 โดยความร่วมมือในโครงการนี้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จะส่งเสริมและสนับสนุนในด้านวิชาการ ทั้งในเชิงองค์ความรู้เกี่ยวกับ Circular Economy และวิธีการวิจัยที่เป็นมาตรฐาน เพื่อใช้เป็นแนวทางการทำ Focus Group และจัดทำ Guidelines เพื่อให้ผู้ประกอบการในคลัสเตอร์อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง สามารนำแนวทางไปปรับใช้และพัฒนาธุรกิจ เพื่อให้สามารถแข่งขันได้

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวเสริมว่า สายงานส่งเสริมและสนับสนุนอุตสาหกรรม ส.อ.ท. ได้รับมอบหมายให้ดำเนินภารกิจดูแล 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 11 คลัสเตอร์อุตสาหกรรม ซึ่งเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อน BCG และร่วมผลักดันในการดำเนินโครงการฯ เพื่อให้เกิดการพัฒนาต้นแบบโมเดลกลุ่มอุตสาหกรรมนำร่องระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนให้เกิดเป็นรูปธรรมและสัมฤทธิ์ผล เพื่อสร้างทางเลือกแผนธุรกิจที่มีศักยภาพสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมและร่วมจัดทำคู่มือบทเรียนความสำเร็จของ CE Champion จาก 5 คลัสเตอร์อุตสาหกรรม อาทิ ปิโตรเคมี วัสดุก่อสร้าง อาหาร ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม ซึ่งถือเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย มีความเชื่อมโยงกับผู้ประกอบการทุกขนาดโดยเฉพาะ SMEs รวมถึงเป็นอุตสาหกรรมที่ประเทศไทยมีจุดแข็งและมีศักยภาพในการแข่งขัน ของประเทศ
#3822


นายเอกลาภ ยิ้มวิไล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง ซิปเม็กซ์ ประเทศไทย (Zipmex) เปิดเผยว่า วานนี้ ( 31 ส.ค.) ซิปเม็กซ์ แพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ประกาศการระดมทุนรอบ Series B   มูลค่า 1,300 ล้านบาท ร่วมมือกับบริษัท กรุงศรี ฟินโนเวต จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมลงทุน (CVC) ในเครือธนาคารกรุงศรีฯ  , บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) , บริษัท มาสเตอร์ แอด จำกัด (มหาชน) ,MindWorks Capital ซึ่งเป็นบริษัทจากฮ่องกง และ Jump Huay Capital ผู้บริหารเงินที่ร่วมลงทุนในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้นำการระดมทุนรอบ Series A  และยังลงทุนต่อเนื่องในรอบนี้ 

โดยเงินทุนระดมครั้งนี้ นำมาใช้พัฒนาปรับปรุงระบบต่างๆให้ดีขึ้น มีความปลอดภัยมากขึ้น เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า รวมถึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างต่อเนื่องจากเดิมเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าต่อไป  

ล่าสุด บริษัทเตรียมพัฒนาการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลนำไปชำระสินค้า ในรูปแบบของบัตรคริปโตการ์ด เริ่มใช้แล้วในออสเตรเลียและสิงค์โปร ส่วนในไทยอยู่ระหว่างกาารหารือกับทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)และริษัทสามารถให้ผลตอบแทนดอกเบี้ยในรูปของเงินบาทได้ คาดว่าจะหารือกับทางกรุงศรีเพิ่มเติมต่อไป  รวมถึงการพัฒนาแพลตฟอร์ม NFTs (Non-Fungible Token)ในต่างประเทศ เพื่อนำมาใช้ประโยชน์

ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท

บริษัทตั้งเป้าหลังระดมทุนใหม่รอบนี้ คาดว่าจะผลักดันเข้าสู่บริษัทที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ 330,000 ล้านบาทหรือเป็นบริษัทระดับยูนิคอร์น ในอีก 1-2 ปีข้างหน้า จากระดับ 33,000 ล้านบาทในปีนี้ เนื่องจากปัจจุบันบริษัทเติบโตเร็วกว่าที่คาดมากและยังมีเงินระดมทุนใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกในครั้งนี้ หลังจากบริษัทเปิดดำเนินการเมื่อกลางปี 2563หรือเพียง 1 ปีเท่าและในปีนี้คาดว่าทำกำไรได้แล้ว 

ปัจจุบัน ซิปเม็กซ์ มีผู้ลงทะเบียนใช้งานกว่า 1 ล้านบัญชี  คิดเป็นสัดส่วนของไทย 40%  ขณะที่มีปริมาณการซื้อขายสินทรััพย์ดิจิทัลทั้งสิ้นกว่า 140,000 ล้านบาท  คิดเป็นสัดส่วนของไทย  50%  และตั้งเป้าเพิ่มเป็น 300,000 ล้านบาทภายในสิ้นปีนี้ 


นายแซม ตันสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงศรี ฟินโนเวต จำกัด ในเครือธนาคารกรุงศรีกล่าวว่า สาเหตุที่เลือกลงทุนในซิปเม็กซ์ เนื่องจากเป็นบริษัทที่มีเครือข่ายที่แข็งแกร่งอยู่ต่างประเทศและไทยรวม 4 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และไทย รวมทั้งยังมีผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลาย ไม่ใช่เพียงแค่แพลตฟอร์มการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล 

ขณะเดียวกันกรุงศรีได้เข้าดูแลในด้านของระบบการยืนยันตัวตนทางดิจิทัล การชำระเงิน โอนเงินให้กับ ซิปเม็กซ์ด้วย และยังจะพัฒนาทางด้านอื่นด้วยกันต่อไปในอนาคต อีกทั้งคาดว่า ซิปเม็กซ์มีโอกาสเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ใดที่หนึ่งได้เร็วกว่าสตาร์ทอัพปกติใช้เวลาราว 4-5ปี ทั้งนี้ ขึ้นกับโอกาสและความเหมาะสม

นายพายุพัด มหาผล กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์(บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัดในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บมจ.บลูบิค กรุ๊ป  กล่าวว่า คาดบลูบิค จะเปิดเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก(IPO) จำนวน25 ล้านหุ้น ในกลางเดือนก.ย. 2564 และคาดเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) ภายในเดือนก.ย.นี้ 
#3823


บริษัท โคลเวอร์ เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CV เปิดเผยว่า บริษัทฯ ขอนำส่งงบการเงิน ไตรมาส 2 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิ.ย.2564 ซึ่งผ่านการสอบทานจากผู้สอบบัญชีรับอนุญาตแล้วต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยผลการดำเนินงานของบริษัทฯ สำหรับงวด 6 เดือนสิ้นสุด ณ 30 มิ.ย.2564 และงวดเดียวกันของปีก่อน กลุ่มบริษัทฯ มีกำไรสุทธิเท่ากับ 44.78 ล้านบาท และ 87.73 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิเท่ากับร้อยละ 6.42 และร้อยละ 7.16 ตามลำดับ

สำหรับงวด 6 เดือนสิ้นสุด ณ 30 มิถุนายน 2564 กลุ่มบริษัทฯ มีกำไรสุทธิลดลงจำนวน 42.95 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 48.96 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักเนื่องจากเป็นช่วงปลายของงานโครงการ EPC huay ที่มีอยู่เดิม แต่อย่างไรก็ตามสำหรับธุรกิจไฟฟ้าจะมีกำไรเพิ่มขึ้นจากทั้งจำนวนโรงไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นและประสิทธิภาพในการผลิตที่เพิ่มขึ้น


ขณะที่รายได้รวมในงวด 6 เดือนแรกอยู่ที่ 697.80 ล้านบาท ลดลงจำนวน 527.37 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 43.04 เมื่อเปรียบเทียบกับงวด 6 เดือนสิ้นสุด ณ 30 มิ.ย.2563 ซึ่งมีรายได้รวม 1,225.17 ล้านบาท เนื่องจากงวด 6 เดือนสิ้นสุด ณ 30 มิ.ย.2563 กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้จากการขายเครื่องจักรและให้บริการวิศวกรรมก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนแห่งหนึ่งในประเทศไทย

ต่อเนื่องจากสัญญางานที่เริ่มในปี 2562 สูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันในปี 2564 และมีรายได้ดอกเบี้ยรับจากการให้กู้ยืมเงินแก่บริษัทที่เกี่ยวข้อง ซึ่งช่วงเวลาเดียวกันในปี 2564 ไม่มีรายได้ดอกเบี้ย ทั้งนี้ในส่วนรายได้กลุ่มไฟฟ้าสูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันจากทั้งจำนวนโรงไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นและประสิทธิภาพในการผลิตที่เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ บริษัทฯ จัดตั้งเมื่อวันที่ 8 ส.ค.2556 เพื่อลงทุนพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน โดยกลุ่มวิศวกรที่มีความเชี่ยวชาญด้านงานวิศวกรรมออกแบบและก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (EPC Turnkey) แบ่งเป็น 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ 1. ธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า 2. ธุรกิจด้านวิศวกรรม และ 3. ธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับพลังงานหมุนเวียน โดยบริษัทฯ จะนำหุ้นเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในวันที่ 2 ก.ย.2564 โดยใช้ชื่อย่อว่า "CV"
#3824


นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากรเปิดเผยว่า วันนี้(1ก.ย.)เป็นวันแรกที่กรมสรรพากรเปิดให้ผู้ประกอบการธุรกิจออนไลน์ข้ามชาติเข้ามาจดทะเบียนเป็นผู้เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม(แวต)ในประเทศไทยตามกฎหมายe-Serviceที่กรมฯได้ประกาศใช้เริ่มวันที่ 1 ก.ย.นี้เป็นต้นไป ซึ่งขณะนี้ มีผู้ประกอบการดังกล่าวได้เข้ามาจดทะเบียนแล้วประมาณ 69 ราย ในจำนวนนี้ เป็นผู้ประกอบการรายใหญ่กลุ่มเป้าหมายของกรมฯประมาณ 20 ราย

ทั้งนี้ กรมฯมีเป้าหมายผู้ประกอบการเข้ามาจดทะเบียนแวตกับกรมฯรวมประมาณ 100 ราย อย่างไรก็ดี ระบบเราจะเปิดรับจดทะเบียนแวตตลอดคาดการณ์รายได้จากผู้ประกอบการเหล่านี้ประมาณ 5,000 ล้านบาท

"ตัวเลขคาดการณ์รายได้จำนวน 5,000 ล้านบาทนี้ เราคาดการณ์ในช่วงที่เราทำกฎหมาย คือ 2-3 ปีที่แล้ว ซึ่งยังไม่เกิดสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 แต่ตอนนี้ ตัวเลขการค้าขายผ่านระบบออนไลน์สูงขึ้น ก็เชื่อว่า ตัวเลขรายได้ที่คาดการณ์เป็นตัวเลขขั้นต่ำ"

ทั้งนี้ เมื่อผู้ประกอบการเข้ามาจดทะเบียนกับกรมฯแล้ว จะเริ่มชำระภาษีแวตต่อกรมฯได้ภายในวันที่ 23 ของเดือนถัดไป โดยเป็นการชำระผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์

สำหรับในรายที่ยังไม่ยอมเข้ามาจดทะเบียนแวตกับนั้น กรมฯจะใช้ความร่วมมือกับต่างประเทศที่ไทยเป็นสมาชิกที่ช่วยเหลือด้านการเก็บภาษีดังกล่าวจำนวน 130 ประเทศ ทั้งนี้ ประมวลรัษฎากรใหม่ให้อำนาจเพิ่มเติมที่สามารถออกหมายผู้ประกอบการเลี่ยงภาษีเรียกทางอิเล็กทรอนิกส์เหมือนผู้ประกอบการไทย และ สามารถอายัดบัญชีที่ผู้ประกอบการดังกล่าวจดในประเทศไทยได้ รวมถึง ออกหมายเรียกพยานในการชำระภาษีได้ด้วย

"เราจำเป็นต้องร่วมมือกับต่างประเทศ จึงต้องเป็นภาคีเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกับประเทศเหล่านั้น ให้ช่วยกันเก็บภาษีพวกบริษัทข้ามชาติที่เอาเปรียบบริษัทในประเทศ"
ส่วนอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่บริษัทเหล่านี้จะต้องชำระ คือ 7% เท่ากับผู้ประกอบการจดแวตในไทย ซึ่งจุดมุ่งหมายของกรมฯ คือ ทำให้เกิดความเท่าเทียมระหว่างบริษัทต่างประเทศกับในประเทศ โดยผู้ประกอบการที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี จะต้องจดทะเบียนชำระภาษีแวต

ปัจจุบันกรมฯจัดเก็บรายได้จากภาษีแวตปีละประมาณกว่า 8 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตาม รายได้จากธุรกิจออนไลน์ไม่มากนัก เพราะธุรกิจออนไลน์ในประเทศยังไม่มีการเติบโตมากนัก ขณะที่ ธุรกิจออนไลน์ต่างประเทศได้เข้ามาทำธุรกิจในไทยจำนวนมาก เราจึงต้องแก้ไขกฎหมายเพื่อสร้างความเป็นธรรมแก่ธุรกิจในประเทศ
#3826
 ทำไมข้าวออแกนิกถึงแพงกว่าข้าวธรรมดาที่ใช้สารเคมี

ทำไมข้าวเกษตรอินทรีย์ (ข้าวอินทรีย์กรมการข้าว) ถึงแพงกว่าข้าวธรรมดา     'ข้าวอินทรีย์' ดีต่อสุขภาพ   การผลิตข้าวอินทรีย์(ออแกนิค)   ผู้บริโภคส่วนใหญ่ต่างก็ให้ความสนใจกับการดูแลรักษาสุขภาพกันมากขึ้น  อย่างยิ่งกับการเลือกซื้ออาหารที่ปลอดภัยซึ่งมีมากมายหลากหลายในปัจจุบัน  รวมถึงผลผลิตจากระบบเกษตรอินทรีย์ที่เป็นทางเลือกหนึ่งที่ผู้บริโภคทั้งหลายให้ความไว้วางใจ  แต่ก็ยังมีคำถาม ข้อสงสัย ติดอันดับยอดนิยมจากผูบริโภคว่า  "ทำไมข้าวเกษตรอินทรีย์ถึงราคาแพงกว่า ทั่วไป ทั้งที่ข้าวในนาผลิตตามธรรมชาติ ไม่ต้องมีต้นทุนปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลง"    กลุ่มข้าวอินทรีย์สุรินทร์  ข้อมูลจากเวปไซด์ขององค์กรการอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) กล่าวถึงข้อเท็จจริงบางประการ ข้าวจังหวัดสุรินทร์ที่เป็นเหตุผลของราคาผลผลิตและสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่สูงกว่าเอาไว้  ดังนี้- ฟาร์มเกษตรอินทรีย์มีขนาดเล็ก ใช้แรงงานต่อหน่วยในการผลิตมากกว่าฟาร์มทั่วไป (สาเหตุหนึ่งที่ต้นทุนการผลิตสูง)
- ค่าใช้จ่ายในขบวนการหลังการเก็บเกี่ยวผลผลิตเกษตรอินทรีย์ ข้าวแฟร์เทรด   สูงกว่าเพราะในการขนส่ง หรือแปรรูปจะต้องแยกออกจากผลผลิตทั่วไปอย่างชัดเจน
- ปริมาณของข้าวเกษตรอินทรีย์ค่อนข้างน้อย ทำให้ค่าใช้จ่ายในการกระจายสินค้าต่อหน่วยของข้าวกล้องออร์แกนิค ออกสู่ตลาดนั้นสูงกว่าผลผลิตทั่วไป
- ข้าวเกษตรอินทรีย์ทำให้เกษตรกรได้รายได้ที่เป็นธรรมและพอเพียง
- ข้าวเกษตรอินทรีย์ข้าวออแกนิคคือ  มีการจัดการมาตรฐาน คุ้มครองสัตว์เลี้ยงในฟาร์มได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า
- และสุกท้ายที่สำคัญที่สุด ข้าวเกษตรอินทรีย์มีจำนวนจำกัดเมื่อเทียบกับความต้องการของผู้บริโภค
เพื่อความมั่นใจถึงความเป็นข้าวออร์แกนิคที่แท้จริงของเรา  




ข้าวฮอร์ (HOR)  ข้าวสุขภาพ ได้รับมาตรฐาน 
1. ใบรับรองมาตรฐานข้าวอินทรีย์ ( Organic Thailand)
2. ใบรับรองเครื่องหมาย "ข้าวพันธุ์แท้"  จากกรมการข้าว  จาก กระทรวงเกษตรและสหกรณ์   ในประเภทของ 
2.1  ข้าวขาวดอกมะลิ 105 (ข้าวขาว)  
2.2  ข้าวขาวดอกมะลิ105 (ข้าวกล้อง)  
2.3  ข้าวมะลินิลสุรินทร์

ข้าว Hor.Boutique ข้าวเกษตรอินทรีย์สุรินทร์  ข้าวเพื่อสุขภาพส่งทั่วไทย   ข้าวปลอดสารพิษสุรินทร์
277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
website : www.hor.boutique
Facebook :   twitter.com/hor_boutique
Twitter : https://twitter.com/hor_boutique
IG : https://www.instagram.com/hor.boutique/
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ  ข้าวปลอดสารเคมีสุรินทร์  ข้าวเพื่อสุขภาพส่งทั่วไทย
1.  ข้าวกล้องหอมมะลิออแกนิค
2.  ข้าวกล้องหอมมะลิปลอดสารพิษ
3. ข้าวกล้องปะกาอำปึลออแกนิค
4.ข้าวผสมห้าสายพันธุ์อินทรีย์
5. ข้าวกล้องหอมมะลิแดงออแกนิคคือ
6.  ข้าวสุขภาพมะลินิล
7. ข้าวไรซ์เบอรี่   ข้าวกล้องหอมมะลิแดงเกษตรอินทรีย์

ข้าว Hor พร้อมขายแล้วที่ Shopee & Lazada
https://shopee.co.th/hor.boutique
https://www.lazada.co.th/shop/horboutique/

#ข้าวออร์แกนิก #ข้าวออแกนิค  #ข้าวออแกนิก #ข้าวอินทรีย์ 
#ข้าววสุขภาพ  #ข้าวเกษตรอินทรีย์
 

 

 
 
#3827


วันนี้ (30 ส.ค.) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์เฉวตสรร นามวาท ผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค แถลงข่าวประสิทธิผลของวัคซีนโควิด 19 ในการลดป่วยรุนแรงและเสียชีวิต ว่า การฉีดวัคซีนโควิด 19 เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม ฉีดได้ 275,188 โดส สะสม 30,954,477 โดส เป็นเข็มแรก 23,018,371 ราย ครอบคลุม 32% ของประชากร และครบ 2 เข็ม 7,350,348 ราย ครอบคลุม 10.2% ของประชากร สำหรับการฉีดวัคซีนในกลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอาการรุนแรงและเสียชีวิตสูง พบว่า เมื่อฉีดวัคซีนได้ครอบคลุมมากขึ้น แนวโน้มการเสียชีวิตลดลงชัดเจน จากสัปดาห์ที่ 22 ฉีดวัคซีนครอบคลุมร้อยละ 0.8 เมื่อถึงสัปดาห์ที่ 34 ฉีดได้ครอบคลุมร้อยละ 41 อัตราเสียชีวิตที่เคยสูงสุดถึงร้อยละ 18.34 ในสัปดาห์ที่ 25 ลดลงครึ่งหนึ่ง เหลือเพียงร้อยละ 9.27 ในสัปดาห์ที่ 30 และอัตราการป่วยรุนแรง/ ปอดอักเสบลดลงด้วยเช่นกัน

นายแพทย์เฉวตสรรกล่าวต่อว่า สำหรับแผนการจัดหาวัคซีนโควิด 19 ตั้งแต่กันยายน-ธันวาคม 2564 จะมีวัคซีนซิโนแวค 12 ล้านโดสในเดือนกันยายน-ตุลาคม เพื่อฉีดเป็นเข็ม 1 ในสูตรวัคซีนไขว้ ส่วนแอสตร้าเซนเนก้า จะส่งมอบให้ครบ 61 ล้านโดสในปีนี้ โดยกันยายนส่งมอบ 7.3 ล้านโดส และตุลาคม-ธันวาคม เดือนละ 10 ล้านโดส ส่วนไฟเซอร์ 30 ล้านโดส จะส่งมอบกันยายน 2 ล้านโดส ตุลาคม 8 ล้านโดส และพฤศจิกายน-ธันวาคมเดือนละ 10 ล้านโดส รวมวัคซีนที่จัดหาได้ในปี 2564 ทั้งสิ้น 124 ล้านโดส เมื่อรวมกับวัคซีนซิโนฟาร์มและโมเดอร์นาทำให้ไทยมีวัคซีน 140 ล้านโดส

ในการกระจายวัคซีนฉีดให้กลุ่มต่าง ๆ จะมีคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญและคณะกรรมการวิชาการให้ความเห็น โดยมีแผนฉีดวัคซีนเข็มแรกในกลุ่มเสี่ยง 608 ให้ได้ 70% ในพื้นที่ 12 จังหวัดภายในเดือนสิงหาคม และทุกจังหวัดในเดือนกันยายน และจะฉีดวัคซีนเข็ม 2 ในกลุ่มเสี่ยง 608 ให้มากกว่า 70% ในเดือนตุลาคม สำหรับประชาชนกลุ่มอื่นๆ จะฉีดเข็มแรกครอบคลุม 50% ทั้งประเทศในเดือนตุลาคม และครอบคลุม 70% ในเดือนพฤศจิกายน ทั้งนี้ ภายในธันวาคมทุกพื้นที่ต้องฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มให้ได้ 70% อย่างไรก็ตาม การลดจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิต นอกจากการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชากรแล้ว ยังต้องอาศัยความร่วมมือของประชาชนในการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันตนเองขั้นสูงสุดตลอดเวลา รวมถึงองค์กรต่าง ๆ ต้องเข้มมาตรการป้องกันภายในองค์กรด้วย
#3828


นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 25 ส.ค.ที่ผ่านมา กรมการค้าต่างประเทศ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยและสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (สคต.) ณ กรุงสิงคโปร์ ในฐานะ Salesman ประเทศ ได้จัดการประชุมหารือกับสมาคมผู้นำเข้าข้าวสิงคโปร์ (Singapore General Rice Importers Association) ผ่านระบบ Video Conference เพื่อผลักดันการส่งออกข้าวไทยไปยังสิงคโปร์ในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 ที่ราคาข้าวไทยปรับตัวลดลง ทำให้มีโอกาสในตลาดสิงคโปร์และตลาดอื่นๆ ทั่วโลกมากขึ้น นอกจากนี้ ยังเป็นการรวบรวมข้อมูลความต้องการของประเทศผู้นำเข้าข้าวเพื่อใช้เป็นประโยชน์ในการพัฒนาสินค้าข้าวไทยให้ตรงกับความต้องการของผู้ซื้อตามนโยบาย "ตลาดนำการผลิต" ของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

โดยฝ่ายไทยได้แจ้งสถานการณ์การผลิตข้าวของไทยในปี 2564 ซึ่งคาดว่าจะมีผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีปริมาณน้ำฝนที่เพียงพอ ประกอบกับค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงอยู่ที่ประมาณ 32.00-33.00 บาทต่อดอลลาร์  ส่งผลให้ปัจจุบันราคาข้าวไทยปรับตัวลงมาอยู่ในระดับที่แข่งขันกับประเทศคู่แข่ง เช่น อินเดียและเวียดนาม ได้มากขึ้น จึงขอให้สมาคมผู้นำเข้าข้าวสิงคโปร์นำเข้าข้าวจากไทยเพิ่มขึ้น เนื่องจากในช่วงครึ่งปีแรกสิงคโปร์นำเข้าข้าวจากไทยลดลงมากเมื่อเทียบกับปี 2563

        
ด้านผู้แทนสมาคมผู้นำเข้าข้าวสิงคโปร์ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ตลาดข้าวในสิงคโปร์ว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 สิงคโปร์นำเข้าข้าวรวมลดลงเนื่องจากยังมีสต็อกข้าวที่เหลือจากปี 2563 ที่ผู้นำเข้าได้เร่งนำเข้าข้าวในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ทำให้มีปริมาณข้าวมากเกินความต้องการในตลาด สำหรับสาเหตุที่สิงคโปร์นำเข้าข้าวจากไทยลดลงมาจากสาเหตุหลัก คือ ราคาข้าวไทยมีความผันผวนมากทำให้ผู้นำเข้าข้าววางแผนการตลาดค่อนข้างยาก ผู้นำเข้าข้าวบางส่วนจึงหันไปนำเข้าข้าวจากเวียดนามที่มีเสถียรภาพด้านราคาแม้ว่าคุณภาพจะด้อยกว่าข้าวไทย นอกจากนี้ ยังมีการนำเข้าข้าวจากอินเดียเพิ่มขึ้นเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของแรงงานอินเดียในสิงคโปร์ที่มีมากขึ้น

อย่างไรก็ดี สมาคมผู้นำเข้าข้าวสิงคโปร์เห็นว่าในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 ความต้องการของข้าวไทยจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากราคาข้าวไทยปรับตัวลดลงอย่างมากโดยเฉพาะข้าวหอมมะลิไทยที่ปรับตัวลดลงในระดับที่จูงใจให้นำเข้าเพิ่มขึ้น นอกจากปัจจัยบวกทางด้านราคาแล้ว ผู้บริโภคในสิงคโปร์ยังคงเชื่อมั่นในคุณภาพและมาตรฐานของข้าวไทยที่สูงกว่าข้าวจากแหล่งอื่น ประกอบกับคาดว่ารัฐบาลสิงคโปร์จะผ่อนคลายมาตรการ Lockdown ในช่วงเดือนก.ย.เป็นต้นไป ซึ่งจะทำให้มีความต้องการข้าวไทยจากอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ ข้าวกล้อง ข้าวเพื่อสุขภาพของไทยได้รับความนิยมในกลุ่มผู้บริโภค และมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่องหลังจากรัฐบาลสิงคโปร์ได้รณรงค์ให้ชาวสิงคโปร์หันมาบริโภคข้าวกล้องแทนข้าวขาวเพื่อลดอัตราผู้ป่วยโรคเบาหวานในประเทศ โดยมีการสร้างแรงจูงใจแก่ผู้นำเข้าในการประชาสัมพันธ์ข้าวดังกล่าวกับผู้บริโภค ดังนั้น หากราคาข้าวไทยมีเสถียรภาพและยังปรับตัวอยู่ในระดับที่แข่งขันได้เช่นในปัจจุบัน คาดว่าครึ่งปีหลังจะมีการนำเข้าข้าวจากไทยเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอนซึ่งสมาคมฯพร้อมสนับสนุนข้าวไทยและช่วยส่งเสริมตลาดและประชาสัมพันธ์ข้าวไทยในตลาดสิงคโปร์ต่อไป

นายกีรติ กล่าวว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลให้กรมฯ ไม่สามารถจัดคณะผู้แทนการค้าภาครัฐและภาคเอกชนไทยเดินทางไปเจรจาขยายตลาดข้าวและกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าในต่างประเทศได้ จึงได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบเป็นการประชุมหารือผ่านระบบ Video Conference เพื่อให้มีโอกาสพบปะพูดคุยกับประเทศคู่ค้าสำคัญ โดยที่ผ่านมากรมฯ ได้จัดการประชุมหารือกับสมาคมผู้นำเข้าข้าวของฮ่องกง ผู้นำเข้าข้าวฟิลิปปินส์ และหน่วยงานกำกับดูแลการนำเข้าข้าวของมาเลเซีย (BERNAS) ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ทั้งนี้ ในระยะต่อไปกรมฯ มีแผนหารือกับบังกลาเทศ ญี่ปุ่น และอินโดนีเซีย เพื่อผลักดันการส่งออกข้าวไทยและส่งเสริมให้ข้าวไทยมีส่วนแบ่งในตลาดเป้าหมายเพิ่มขึ้นต่อไป
#3829


นายสันติสุข คล่องใช้ยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินไทยแอร์เอเชีย เปิดเผยว่า สายการบินไทยแอร์เอเชีย พร้อมกลับมาบินเส้นทางภายในประเทศ ตั้งแต่วันที่ 3 กันยายน 2564 หลังสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ประกาศอนุญาตให้ทำการบินได้ภายใต้มาตรการที่กำหนด โดยทยอยเปิดให้บริการ 11 เส้นทางบินตรงจากดอนเมืองสู่เชียงใหม่ เชียงราย ภูเก็ต หาดใหญ่ นครศรีธรรมราช นราธิวาส ขอนแก่น อุดรธานี อุบลราชธานี นครพนม และร้อยเอ็ด พร้อมจัดโปรโมชั่นบินสุดคุ้มรับการกลับมา ลดทันที 30% ทุกที่นั่ง ทุกเที่ยวบิน ทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดยาวและวันหยุดนักขัตฤกษ์ สำรองที่นั่งได้ตั้งแต่วันที่ 28 ส.ค.-5 ก.ย.64 และเดินทางได้ตั้งแต่วันที่ 3 ก.ย.-31 ธ.ค.64 ผ่านทาง airasia super app และ www.airasia.com โดยสามารถเลื่อนวันเดินทางได้ไม่จำกัดครั้งทำเองได้ทันที ฟรีค่าธรรมเนียม (อาจมีส่วนต่างราคาค่าโดยสาร)


ทั้งนี้ สายการบินฯ พร้อมให้บริการสอดคล้องกับนโยบายรัฐ และมาตรการด้านสุขอนามัยที่เข้มข้นเช่นเดิม เพื่อให้ผู้โดยสารมั่นใจในการเดินทางทางอากาศที่ปลอดภัยสูงสุดและสะดวก พร้อมเพิ่มมาตรการที่เคร่งครัดเพื่อความมั่นใจสูงสุดของผู้โดยสาร

โดยตลอดเดือนสิงหาคม แม้สายการบินฯจำเป็นต้องหยุดให้บริการชั่วคราวทุกเส้นทางตามประกาศของภาครัฐ แต่เราไม่ได้หยุดนิ่งเราเตรียมความพร้อมในการกลับมาให้บริการใหม่อยู่ตลอด ทั้งในด้านการบำรุงและดูแลรักษาเครื่องบิน บุคลากร และอุปกรณ์ต่างๆ ทั้งยังทำงานอย่างใกล้ชิดกับสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย สมาคมสายการบินประเทศไทย และหน่วยงานด้านสาธารณสุขต่างๆ เพื่อยกระดับมาตรฐานการให้บริการและมาตรการด้านสุขอนามัย

สำหรับตั้งแต่เดือนก.ย.64 เป็นต้นไป ผู้โดยสารที่เดินทางกับสายการบินฯ ตามประกาศของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ต้องดำเนินการตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในเงื่อนไขการเดินทางเข้าออกของจังหวัดจุดหมายปลายทาง พร้อมมีเอกสารการได้รับวัคซีนครบเกณฑ์ และ/หรือ มีเอกสารแสดงผลการตรวจหาเชื้อโควิด-19 โดยวิธี RT- PCR หรือ Antigen Test Kit (ATK) หรือเป็นผู้ได้รับการยกเว้นตามมาตรการอื่นของจังหวัดจุดหมายปลายทาง (อาทิ มีเอกสารรับรองว่าเป็นผู้เคยติดเชื้อมาไม่เกิน 90 วัน หรือมีเอกสารรับรองว่าเป็นผู้ผ่านการกักตัวแล้ว หรือ มีเอกสารดำเนินการตามโครงการพื้นที่นำร่องเปิดประเทศ Sandbox) พร้อมแจ้งความจำเป็นในการเดินทางผ่าน https://covid-19.in.th/

อย่างไรก็ตาม สายการบินฯยังคงมาตรการด้านสุขอนามัยและความปลอดภัยที่เข้มข้น อาทิ ผู้โดยสารจำเป็นต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดการเดินทาง การทำความสะอาดและฆ่าเชื้อเครื่องบินและจุดสัมผัสต่างๆ เป็นประจำ มาตรฐานระบบกรองอากาศบนเครื่องบินด้วย Hepa Filter ซึ่งสามารถกรองฝุ่นละออง ไวรัสแบคทีเรีย และอนุภาคขนาดเล็กได้ถึง 99.99% การจำกัดจำนวนผู้โดยสารบนเที่ยวบินไม่เกินร้อยละ 75 และรถรับ-ส่งไม่เกิน 50 คนต่อเที่ยว การไม่อนุญาตให้รับประทานอาหารและเครื่องดื่มบนเที่ยวบิน การเว้นระยะห่างและลดการสัมผัส รวมทั้งมาตรการด้านพนักงานผู้ให้บริการทุกคนต้องได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบถ้วนแล้ว พร้อมตรวจหาเชื้อโควิด-19 ตามข้อกำหนด
#3830


วันนี้ (29 ส.ค.) เพจ 'โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์' โพสต์ภาพวัคซีนซิโนฟาร์ม ที่มาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ จำนวน 2 ล้านโดส โดยทาง โรงพยาบาลได้ระบุข้อความว่า

'29 สิงหาคม 2564 : วัคซีนซิโนฟาร์มล็อตที่ 7 จำนวน 2 ล้านโดส เดินทางมาถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ประเทศไทยแล้ว รวมจำนวนวัคซีนซิโนฟาร์มที่เข้ามาในประเทศไทยแล้วตั้งแต่ 20 มิ.ย. - 29 ส.ค. 2564 เป็นจำนวน 9 ล้านโดส'

โดย วัคซีนซิโนฟาร์ม ของ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เตรียมไว้สำหรับฉีดให้กับประชาชนบุคคลธรรมดา ซึ่งเมื่อวันที่ 27 ส.ค. ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เปิดลงทะเบียนขอรับการจัดสรรวัคซีนหลัก สำหรับบุคคลธรรมดา ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ที่ยังไม่เคยเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 มาก่อน ลงทะเบียนขอรับวัคซีนโควิด-19 หลัก (AstraZeneca หรือ Sinovac) ณ ศูนย์บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ CAT Convention Hall ถนนแจ้งวัฒนะ

เปิดลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ขอรับวัคซีนหลัก โดยยังไม่กำหนดวันนัดหมายรับวัคซีนจันทร์ที่ 30 สิงหาคม 2564 เวลา 9.00 น. ผ่านทางเว็บไซต์ https://vaccinecovid19.cra.ac.th/ ทั้งนี้ ผู้ที่ลงทะเบียนจะได้รับ SMS ตามลำดับ ID เพื่อแจ้งให้ท่านเข้ามาดำเนินการเลือกวัน-เวลาเข้ารับวัคซีนตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 2564 เป็นต้นไป

เงื่อนไขการเข้ารับวัคซีนหลักกับราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ขอสงวนสิทธิสำหรับประชาชนที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑลที่สามารถเดินทางมารับวัคซีน ณ ศูนย์บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ CAT Convention Hall ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร เท่านั้น เพื่อไม่ให้เสียสิทธิ์สำหรับผู้ที่สามารถเข้ารับวัคซีนได้ตามช่วงเวลาที่กำหนด

ผู้ลงทะเบียนต้องระบุเลขที่บัตรประจำตัวประชาชน หรือเลขที่หนังสือเดินทาง หรือเลขที่บัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย
ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ไม่มีนโยบายให้ฉีดวัคซีนสลับชนิดกัน เนื่องจากเป็นวัคซีนที่ใช้ในภาวะฉุกเฉิน ผู้ลงทะเบียนเข้ารับวัคซีนหลักกับราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ไม่สามารถเลือกชนิดของวัคซีนได้ โดยให้บริการตามโควต้าวัคซีนที่ได้รับการจัดสรรมาจากกระทรวงสาธารณสุข
#3831


นายวรวุฒิ กาญจนกูล นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน เปิดเผยว่า ขณะนี้สมาคมฯได้พัฒนาแพลตฟอร์มงานรับสร้างบ้านออนไลน์ขึ้นมาเพื่อรองรับกับการเปลี่ยนแปลงจากปัจจัยความไม่แน่นอนต่างๆที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ หรือต่อการจัดกิจกรรมทางการตลาดตามปกติเปลี่ยนมาเป็นการจัดงานขายผ่านออนไลน์ได้หรือในยามที่สถานการณ์ปกติก็สามารถดำเนินการจัดควบคู่ไปกับการจัดงานแบบออฟไลน์ได้เช่นกันเพื่อให้ผู้บริโภคที่ต้องการปลูกสร้างบ้านติดต่อและเข้าถึงบริษัทรับสร้างบ้านที่เป็นสมาชิกของสมาคมฯอย่างสะดวก รวดเร็วแบบเรียลไทม์

โดยระบบที่สมาคมฯ พัฒนาขึ้นนี้มีความเสถียรแลพร้อมใช้งานในระยะยาว เชื่อมั่นว่าจะตอบโจทย์ธุรกิจในยุคดิจิทัลที่เน้นสร้างดาต้า เบสผู้ที่ต้องการปลูกสร้างบ้านกลุ่มใหม่ ได้มากขึ้น ขณะที่ในฝั่งผู้บริโภคเองก็เข้าถึงข้อมูลได้ง่าย ทั้งการเลือกแบบบ้าน โปรโมชั่นต่าง ๆ และสะดวกต่อการเข้าชม ป้องกันการระบาดของโรคระบาด โดยเฉพาะ โควิด-19 สำหรับการจัดงานรับสร้างบ้านออนไลน์ 2021 ซึ่งกำหนดการจัดงานขึ้น ระหว่างวันที่ 10-20 ก.ย. 2564 โดยสามารถเข้าชมได้ที่ www.hba-th.org

" คาดว่าการจัดกิจกรรมผ่านงานรับสร้างบ้านออนไลน์จะเป็นแรงกระตุ้น หรือแรงเหวี่ยงต่อเนื่องไปยังตลาดในช่วงไตรมาส 4 ซึ่งสมาคมฯ ได้วางแผนการจัดงาน "รับสร้างบ้านและวัสดุ Expo 2021" ในเดือนพ.ย.นี้ หวังว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 จะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น ประชาชนได้รับการฉีดวัคซีนมากขึ้นและมีจำนวนผู้ติดเชื้อลดลง จะทำให้กลุ่มผู้บริโภคที่ชะลอสร้างบ้านกลับมามีความเชื่อมั่นและตัดสินใจปลูกสร้างบ้านมากขึ้น "
#3832


ไบรสัน เดอชอมโบ นักกอล์ฟมือ 6 ของโลกชาวอเมริกัน รักษาเก้าอี้ผู้นำศึก บีเอ็มดับเบิลยู แชมเปียนชิพ อย่างเหนียวแน่น หลังเก็บสกอร์รวมเพิ่มเป็น 21 อันเดอร์พาร์ เมื่อจบรอบสาม ก่อนเตรียมตัวลุ้นหยิบแชมป์กลับบ้านในรอบสุดท้าย

ศึกกอล์ฟ พีจีเอ ทัวร์ รายการ บีเอ็มดับเบิลยู แชมเปียนชิพ ชิงเงินรางวัลรวม 9.5 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 311 ล้านบาท) ณ สนาม เคฟส์ วัลเลย์ กอล์ฟ คลับ ระยะ 7,226 หลา พาร์ 71 แมรีแลนด์ สหรัฐอเมริกา โดยวันที่ 28 สิงหาคม ที่ผ่านมา เป็นการดวลสวิงรอบสาม

ปรากฏว่า ไบรสัน เดอชอมโบ สวิงหนุ่มเจ้าบ้าน ยังเกาะตำแหน่งผู้นำเหนียวแน่น หลังลงสนามไปตี 5 อันเดอร์ จากการตี 5 เบอร์ดีกับ 2 อีเกิล แม้พลาดเสีย 2 โบกีและ 1 ดับเบิลโบกี แต่สกอร์ที่ได้มาก็ยังส่งให้เจ้าตัวเก็บเพิ่มเป็น 21 อันเดอร์พาร์ นำจ่าฝูงต่อโดยมี แพทริค แคนท์เลย์ เพื่อนร่วมชาติ ขึ้นมาแชร์เก้าอี้ร่วมกันอีกคน

'ช่วง 9 หลุมแรกผมเล่นดีมากเลย แต่ช่วงหลังก็รู้สึกว่าไม่ดีเท่าไหร่ แตก็ยังโอเค จากนี้ไปต้องทำความสะอาดไม้กอล์ฟสักหน่อย' โปรหนุ่มวัย 27 ปี กล่าวหลังจบวันที่สาม

ส่วนผลงานมือดังคนอื่น รอรีย์ แม็คอิลรอย ซูเปอร์สตาร์ชาวไอริช กระโดดขึ้นมาอยู่ที่ 4 มีลุ้นแบบเล็กๆ หลังเก็บเพิ่มเป็น 17 อันเดอร์พาร์ ตามหลัง 4 สโตรก และ จอน ราห์ม มือ 1 โลก และผู้นำวันแรก ตกไปที่ 8 หลังสกอร์มี 16 อันเดอร์พาร์ แต่ก็ยังมีโอกาสแซงเป็นแชมป์หากโชว์ฟอร์มดีวันสุดท้าย
#3833


บขส.เตรียมกลับมาเปิดให้บริการเดินรถเส้นทางภาคเหนือ-อิสาน-ใต้ รวม 26 เส้นทางตั้งแต่  1 ก.ย.นี้ โดยจำกัดที่นั่ง 75% คุมเข้มความปลอดภัย ทั้งพนักงาน รถโดยสาร และสถานีขนส่งฯ ตามมาตรการป้องกันโควิด-19 อย่างเคร่งครัด

นายสัญลักข์  ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (2019) มีมติเห็นชอบมาตรการผ่อนคลายเพื่อป้องกันและควบคุมโควิด-19 ตามระดับพื้นที่สถานการณ์ย่อยในพื้นที่ทั่วราชอาณาจักร โดยยังคงพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 29 จังหวัด ไว้เช่นเดิม และให้คงมาตรการทางสังคม เช่น การห้ามออกนอกเคหะสถานในเวลา 21.00 - 04.00 น. และในส่วนของการเดินทางข้ามจังหวัดจากพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ให้ระบบขนส่งสาธารณะจำกัดจำนวนผู้โดยสาร ไม่เกิน 75% นั้น

ในส่วน บขส.นั้นได้สั่งการไปยังทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้ง ฝ่ายธุรกิจเดินรถ และฝ่ายบริหารการเดินรถ เตรียมความพร้อมของรถโดยสาร พนักงาน และสถานีขนส่งฯ ให้สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงคมนาคมและกรมการขนส่งทางบก เพื่อให้พร้อมเปิดให้บริการประชาชน ในวันที่ 1 กันยายนที่จะถึงนี้

สำหรับเส้นทางที่จะเปิดให้บริการ ประกอบด้วย เส้นทางภาคเหนือ จำนวน 8 เส้นทาง คือ กรุงเทพฯ – คลองลาน, กรุงเทพฯ – หล่มเก่า, กรุงเทพฯ - เชียงใหม่ (ข), กรุงเทพฯ – ทุ่งช้าง, กรุงเทพฯ – อุตรดิตถ์, กรุงเทพฯ – แม่สอด ,  กรุงเทพฯ – แม่สาย และกรุงเทพฯ - ป่าแดด – เชียงของ

เส้นทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก จำนวน 10 เส้นทาง ประกอบด้วย กรุงเทพฯ – หนองบัวลำภู, กรุงเทพฯ – นครพนม,  กรุงเทพฯ - เลย – เชียงคาน, กรุงเทพฯ – สุรินทร์, กรุงเทพฯ – บุรีรัมย์, กรุงเทพฯ – อุบลราชธานี, กรุงเทพฯ – มุกดาหาร, กรุงเทพฯ – รัตนบุรี, กรุงเทพฯ - จันทบุรี – ตราด และกรุงเทพฯ - สระบุรี

เส้นทางภาคใต้ จำนวน  8 เส้นทาง ประกอบด้วย เส้นทางกรุงเทพฯ (หมอชิต 2) - ตะกั่วป่า – โคกกลอย, กรุงเทพฯ (หมอชิต 2) – ภูเก็ต, กรุงเทพฯ (หมอชิต 2) – กระบี่, กรุงเทพฯ (หมอชิต 2) - ตรัง – สตูล, กรุงเทพฯ (หมอชิต 2) – เกาะสมุย, กรุงเทพฯ (หมอชิต 2) – หาดใหญ่, กรุงเทพฯ – สงขลา และ กรุงเทพฯ – สุไหงโกลก

กรรมการผู้จัดการใหญ่ บขส. กล่าวว่า ในการใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ ขอความร่วมมือผู้ใช้บริการ ปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข D-M-H-T-T-A อาทิ เว้นระยะระหว่างกัน , หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้อื่น , สวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยตลอดเวลา , ล้างมือบ่อย ๆ , ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชันไทยชนะ กรณีไม่สามารถใช้แอปพลิเคชันได้ สามารถกรอกข้อมูลตามแบบฟอร์มที่กรมการขนส่งทางบกกำหนด และหากเคยไปในพื้นที่เสี่ยง หรือสัมผัสใกล้ชิดกับบุคคลในกลุ่มเสี่ยง ขอให้ใช้มาตรการกักตนเอง (Self-quarantine) อย่างเคร่งครัด เพื่อลดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ในวงกว้าง

นอกจากนี้ผู้ใช้บริการสามารถจองตั๋วล่วงหน้าเดินทางกับ บขส. ได้ ผ่าน website บขส. https://tcl99web.transport.co.th/Home , ร้าน 7-Eleven เคาน์เตอร์เซอวิส ทุกสาขา หรือตัวแทนจำหน่ายตั๋วของ บขส. และสามารถชำระค่าโดยสาร บขส. โดยใช้สิทธิ์โครงการคนละครี่ง ผ่านแอปพลิเคชัน "เป๋าตังค์" ได้ โดยสิทธิ์ดังกล่าวไม่สามารถใช้กับการจองตั๋วล่วงหน้าได้ และไม่สามารถยกเลิก/คืน/เปลี่ยนแปลงตั๋วได้ทุกกรณี สอบถามข้อมูลการเดินทางเพิ่มเติม ได้ที่ ช่องจำหน่ายตั๋วรถโดยสารของ บขส. ทั่วประเทศ และ Call Center1490 เรียก บขส. ตลอด 24 ชั่วโมง
#3834


ในที่สุด รัฐบาลก็ได้ทำคลอดมาตรการทวงถามหนี้ที่ไม่เป็นธรรมกับประชาชน เพื่อคุมค่าใช้จ่ายการติดตามทวงถามหนี้ (collection fee) เสียที แต่งานนี้ส่อวุ่นเพราะธุรกิจติดตามหนี้ - จำนำทะเบียนรถ ครวญรายได้หายกำไรหด ยิ่งหากแบงค์หันมาติดตามหนี้เอง เมินจ้างเอาต์ซอร์ซหลายบริษัทจ่อเลิกจ้าง - ปิดกิจการ รวมทั้ง อาจมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยเป็นการทดแทน"

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นประชาชนถูกเอารัดเปรียบจากการติดตามทวงหนี้โหด โดยเฉพาะลูกหนี้ผู้ประสบวิกฤตทางการเงินค้างชำระค่างวดทราบกันดี โดนเรียกเก็บค่าทวงหนี้สูงเกินความเป็นจริง บางรายค่าทวงถามราคาสูงว่าค่างวดที่ต้องจ่ายจริงเสียด้วยซ้ำ แถมร้องเรียนผ่านช่องทางของรัฐก็ไม่เป็นผล ยังไงก็ต้องหาเงินมาชำระหนี้ก่อน หรือหากไม่มีไม่หนี้ไม่จ่ายก็เตรียมโดนยึดขายทอดตลาด

 นายอนุชา บูรพชัยศรี เมื่อครั้งยังดำรงตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่ารัฐบาลได้รับข้อร้องเรียนเรื่องการเรียกเก็บค่าทวงถามหนี้ที่ไม่เป็นธรรม ปีละหลายพันเรื่อง ซึ่งเป็นหนึ่งในปัญหาหนี้สินที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนรายย่อยโดยตรงซึ่งความเดือดร้อนที่พบสามารถแบ่งได้ 3 ส่วน ดังนี้

 1) การเรียกเก็บค่าทวงถามหนี้ในอัตราสูงมากและแพงเกินสมควร โดยเฉพาะค่าทวงถามหนี้ภาคสนามสำหรับสินเชื่อเช่าซื้อ ลูกหนี้จำนวนไม่น้อยถูกเรียกเก็บ 2 - 4 หมื่นบาทต่อครั้ง

2) การเก็บค่าทวงถามหนี้แบบไม่จำกัดจำนวนครั้ง ผู้ให้บริการจะเรียกเก็บค่าทวงถามหนี้กี่งวดก็ได้ ทำให้ลูกหนี้บางรายถูกเรียกเก็บค่าทวงถามหนี้เป็นสิบๆ งวด

3) ความเดือดร้อนที่พบส่วนใหญ่จะตกอยู่กับประชาชนที่จ่ายค่างวดไม่สูงนัก กลายเป็นว่าค่าทวงถามหนี้อาจจะใกล้เคียงหรือบางครั้งสูงกว่าค่างวดที่ไปทวงเสียอีก 

ทั้งนี้ ภายใต้คณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ ที่มี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานได้เร่งดำเนินการตามข้อสั่งการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้เร่งเครื่องกำหนดมาตรการทวงถามหนี้ที่ไม่เป็นธรรมกับประชาชน ดำเนินงานร่วมกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย

ล่าสุด วันที่ 14 ส.ค. 2564 ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศกำหนดอัตราค่าธรรมเนียม - ค่าใช้จ่ายในการทวงถามหนี้ใหม่ มีผลบังคับหลังจากประกาศในราชกิจจานุเบกษา 30 วัน เป็นต้นไป โดยจะเป็นประโยชน์ต่อลูกหนี้รายย่อยกว่า 12.24 ล้านบัญชี โดยกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายใดๆ ในการทวงถามหนี้ ดังนี้

1) อัตราค่าทวงถามหนี้กรณีทั่วไปรวมจำนำทะเบียน ให้คิดค่าทวงถามหนี้ไม่เกิน 50 บาทต่อรอบการทวงถามหนี้ ในกรณีลูกหนี้มีหนี้ค้างชำระ 1 งวด และให้คิดไม่เกิน 100 บาทต่อรอบการทวงถามหนี้ ในกรณีลูกหนี้มีหนี้ค้างชำระมากกว่า 1 งวด

2) อัตราค่าทวงถามหนี้ภาคสนามจะเก็บเพิ่มเติมสำหรับกรณีสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ สำหรับค่าใช้ลงพื้นที่ติดตามทวงถามหนี้ตามที่เกิดขึ้นจริง ไม่เกิน 400 บาทต่อรอบการทวงถามหนี้ และจะเก็บได้ต่อเมื่อลูกหนี้มีหนี้ค้างชำระมากกว่า 1 งวด

3) การยุติการเรียกเก็บค่าทวงถามหนี้ เพื่อแก้ปัญหาการเก็บค่าทวงถามหนี้หลายสิบงวดแบบไม่มีข้อจำกัด คณะกรรมการฯจึงกำหนดให้การเรียกเก็บค่าทวงถามหนี้จะยุติเมื่อผู้ให้บริการได้รับชำระหนี้ครบตามจำนวน หรือ มีหนังสือบอกเลิกสัญญา แล้วแต่เหตุการณ์ใดเกิดขึ้นก่อน

4) การกำหนดค่างวดที่ต่ำกว่า 1,000 บาท ไม่ให้มีการเก็บค่าทวงถามหนี้ เพื่อคุ้มครองประชาชนรายย่อยที่จ่ายค่างวดจำนวนน้อย ๆ ไม่ให้ต้องจ่ายค่าทวงถามหนี้แพงเกินไปเช่น สมมติมีค่างวดรถมอเตอร์ไซค์ 750 บาท ถ้าลูกหนี้ค้างชำระค่างวด 1 งวด ไม่ให้มีการเรียกเก็บค่าทวงถามหนี้ แต่ถ้าเกิดค้างชำระอีกเป็น 2 งวดค่างวดค้างชำระสะสมจะเท่ากับ 1,500 บาท กรณีเช่นนี้สามารถเก็บค่าทวงถามหนี้ได้ 50 บาท

 ทั้งนี้ อัตราค่าทวงถามหนี้ที่ชัดเจนจะช่วยให้ลูกหนี้ได้รับความเป็นธรรมมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาเหมือนสภาวะสุญญากาศที่เจ้าหนี้สามารถเรียกเก็บค่าทวงถามหนี้กี่บาทก็ได้ และกี่ครั้งก็ได้ แต่ในอนาคตจากนี้ไป การทวงถามหนี้จะมีกติกาที่ชัดเจนขึ้น เช่น ในกรณีสินเชื่อทั่วไป ถ้ามีการผิดนัดชำระหนี้ 4 งวด จะเก็บค่าทวงถามในแต่ละงวดเพียง 50, 100, 100, 100 บาทรวมเป็น 350 บาท ในขณะที่ถ้าเป็นกรณีสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ที่มีค่าทวงถามหนี้ภาคสนามจะอนุญาตให้เก็บค่าทวงถามหนี้ภาคสนามได้ไม่เกินงวดละ 400 บาท โดยเริ่มเก็บได้ในงวดที่ 2 และต้องหยุดเมื่อมีการบอกเลิกสัญญา 

อย่างไรก็ตาม สมาคมการค้าผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ไทย ระบุว่ารัฐการกำหนดอัตราค่าทวงถามหนี้ต่ำมากเกินไป ทั้งๆ ที่ผ่านมามีการหารือแนวทางร่วมกันอย่างต่อเนื่อง ประกาศดังกล่าวสะท้อนว่ารัฐเพิกเฉยข้อเสนอและรายละเอียดต้นทุนของภาคธุรกิจทวงถามหนี้

ทั้งนี้ สมาคมธนาคารไทย และสมาคมเช่าซื้อ ได้สำรวจต้นทุนการทวงหนี้ของสินเชื่อเช่าซื้อและจำนำทะเบียนของสมาชิก เสนอให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และ ธปท. ไปแล้ว โดยค้างชำระงวดที่ 1 เก็บที่ 80 - 100 บาท งวดที่ 2 - 4 งวดละ 100 บาท และค่าลงพื้นที่ 400 บาท เป็นต้น

ประกาศดังกล่าวส่งผลต่อธุรกิจติดตามทวงนี้อย่างหนัก ต้องทำความใจก่อนว่าธนาคารและบริษัทเช่าซื้อส่วนใหญ่ใช้ช่องทางว่าจ้าง  บริษัท ติดตามทวงถามหนี้ หรือ โอเอ (Outsource Agent : OA)  ทำหน้าที่ติดตามหนี้แทน โดยบริษัทโอเอมีระบบในการบริหารจัดการในรูปบริษัท มีการลงทุนพัฒนาระบบซอฟต์แวร์ ห้องเซิร์ฟเวอร์ หรือระบบการบันทึกเสียง เพื่อรองรับการทำงานเป็นมืออาชีพ ซึ่งการกำหนดอัตราค่าทวงถามต่ำมาก อาจทำให้ผู้ประกอบการแบกรับภาระไม่ไหว

รวมทั้ง ธนาคารและบริษัทเช่าซื้ออาจดึงงานติดตามทวงหนี้กลับไปทำเอง เพื่อลดต้นทุนให้บริษัทอยู่ได้ ดังนั้น ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อบริษัทโอเอซึ่งมีจำนวนพนักงานทั่วประเทศประมาณ 20,000 คน ทั้งนี้เพื่อเป็นการลดต้นทุนอาจต้องลดพนักงานประมาณ 5,000 - 6,000 คน กล่าวคือ 1 ใน 3 ของพนักงานโอเอจะต้องตกงาน

 นายปิยะศักดิ์ อุกฤษฎ์นุกูล นายกสมาคมการค้าผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อทะเบียนรถ (VTLA) และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.เงินติดล้อ ยอมรับว่าประกาศกำหนดอัตราการค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายใดๆ ในการทวงถามหนี้ฉบับดังกล่าว มีผลกระทบต่อรายได้ที่เคยได้รับจากการติดตามทวงถามหนี้ (collection fee) สัดส่วนประมาณ 2% ของรายได้ค่าธรรมเนียมทั้งหมด โดยบริษัทต้องเปลี่ยนนโยบายการติดตามทวงถามหนี้ที่ปัจจุบันมีการจ้างบริษัทโอเอมาเป็นดำเนินการเอง

แน่นอนว่าต้องมีการปรับวิธีการติดตามทวงหนี้ใหม่ให้สอดคล้องกับต้นทุน โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่มีผลิตภัณฑ์ไม่หลากหลายจะได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก จนอาจจะส่งผลให้ต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อ เพื่อชดเชยรายได้ที่หายไป

ขณะที่  นายเตชินท์ ดุลยฤทธิรงค์  ผู้อำนวยการอาวุโส หัวหน้าฝ่ายพัฒนาการตลาดและบริหารความสัมพันธ์สินเชื่อยานยนต์ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร ให้สัมภาษณ์ในทิศทางเดียวกัน ระบุความว่า

"สุดท้ายหากแบงก์และผู้ประกอบการทำแล้วไม่คุ้ม อาจจะต้องเด้งผ่านต้นทุนไปยังดอกเบี้ยรถใหม่ที่ปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ 1.99% ทำให้ต้นทุนไหลเพิ่มไปสู่คนที่จ่ายได้ เพื่อชดเชยให้กับคนที่จ่ายไม่ได้ เพราะเกณฑ์ใช้ไม้บรรทัดเดียวกับทุกคน"

 ดังนั้น บทสรุปยังคงต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิด 
#3835


ร่มฉัตร จันทรานุกูล มหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และธุรกิจระหว่างประเทศ วิทยาลัยนานาชาติ กรุงปักกิ่ง (UIBE)

ผู้เขียนเชื่อว่าคนในแต่ละยุคสมัยที่ต่างกัน ก็มีความยากง่ายในการดำรงชีวิตที่ต่างกันเช่นกัน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับยุคสมัยที่เกิด การพัฒนาและโอกาสที่มีอยู่ให้ไขว่คว้า ผู้เขียนมองว่าไม่มีที่ใดในโลกไม่มีความเหลื่อมล้ำ แม้แต่ประเทศสังคมนิยมที่เน้นความเท่าเทียมแต่กระนั้นก็มีความเหลื่อมล้ำในสังคมที่เราเห็นกันได้ทั่วไปอยู่ จีนเป็นหนึ่งประเทศสังคมนิยมที่เดินในแนวทางการพัฒนาแบบการผสมผสาน คือในด้านของเศรษฐกิจเลือกที่จะเปิดประเทศ สนับสนุนการลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ ในหลายด้านเปิดรับการแลกเปลี่ยนและการร่วมมือกับต่างประเทศ ทำให้ 40 กว่าปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจจีนมีการพึ่งพาต่างประเทศเป็นอย่างมาก คนจีนที่มีศักยภาพทางการเงินหรือมีความสามารสอบชิงทุนก็เลือกไปศึกษาต่อในประเทศพัฒนาแล้วมากขึ้นเรื่อยๆ เทคโนโลยีหลายอย่างที่จีนมีอยู่ก็คือการต่อยอดนวัตกรรม จีนยอมให้คนรุ่นแรกหรือคนจำนวนหนึ่งรวยขึ้นมาก่อนเพื่อที่จะสร้างความรวยต่อและหยิบยื่นโอกาสให้กับคนรุ่นหลังๆ

แน่นอนว่าการเปิดเศรษฐกิจและกิจกรรมทางธุรกิจต่างๆดำเนินไปตามกลไกตลาดเป็นสิ่งดีตรงที่ให้กิจการและธุรกิจต่างๆเติบโตตามวัฎจักรได้อย่างแข็งแกร่งและแน่นอนว่ากิจการที่ไม่แข็งแรงพอก็จะถูกเบียดตกขบวนไป ผู้เขียนเชื่อว่าหลายท่านก็มีความเชื่อว่า "การแข่งขันนำมาซึ่งการยกระดับศักยภาพ" สำหรับจีนแล้วการปล่อยการพัฒนาของภาคธุรกิจมาถึงจุดหนึ่งก็พบกับความเสี่ยงที่ตามมาคือการเติบโตขึ้นอย่างสุดโต่งของธุรกิจบางประเภท ทำให้กลุ่มคนที่ผงาดขึ้นมาจากด้านธุรกิจมีพลังเงินมหาศาล มีอำนาจชี้นำและผูกขาด จนสามารถควบคุมเศรษฐกิจและทิศทางระดับประเทศได้ จากการเติบโตอย่างไร้ทิศทางนี้ทำให้จีนเริ่มเข้ามาจัดการกับการผูกขาดธุรกิจ จนกระทั่งมีการประกาศนโยบายสร้างแนวทางร่ำรวยไปด้วยกันหรือที่ภาษาจีนเรียกว่า"共同富裕" อ่านว่า ก้งถงฟู่ยู่ นั่นหมายถึงว่ารัฐบาลจะเริ่มเป็น "มือที่มองเห็น" เข้ามาจัดสรรทรัพยากรทางเศรษฐกิจในประเทศจากมือคนรวยไปสู่ชนชั้นกลางและคนจน จุดประสงค์ก็เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในเศรษฐกิจสังคม

มาเข้าเรื่องความเหลื่อมล้ำของคนจีนยุคใหม่ มีคำกล่าวยอดฮิตที่ว่า "输在起跑线上" อ่านว่า ซูไจ้ฉี่เผ่าเสี้ยนซ่าง ความหมายตรงตัวเลยคือ 'แพ้ตั้งแต่เริ่มวิ่ง' เป็นประโยคเสียดสีสังคมว่ายังไม่ทันจะได้เริ่มวิ่งเลยก็แพ้ไปก่อนแล้ว เพราะความเหลื่อมล้ำในเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงปัญหาการแบ่งชนชั้นในสังคมที่นับวันยิ่งชัดเจน การที่จะข้ามขั้นขึ้นไปในชั้นสังคมที่ดีกว่าทำได้ยากกว่าสมัยรุ่นแม่รุ่นพ่อ ดังนั้นคนรุ่นใหม่ที่มีฐานดีกว่ามักจะได้รับโอกาสต่างๆดีกว่าอยู่เสมอ กลับกันคนรุ่นใหม่ที่เกิดมาในครอบครัวปานกลางหรือยากลำบาก ก็จะเติบโตมาในสังคมอีกแบบหนึ่ง การพยายามของคนเหล่านั้นในการเปลี่ยนสังคมและชีวิตของตัวเองก็ไม่ใช่ว่าประสบความสำเร็จเสมอไป

ภาพการ์ตูนเสียดสีสังคม 'แพ้ตั้งแต่เริ่มวิ่ง' (แฟ้มภาพจากTencent)
ภาพการ์ตูนเสียดสีสังคม 'แพ้ตั้งแต่เริ่มวิ่ง' (แฟ้มภาพจากTencent)

คนรุ่นใหม่จีนมีความกดดันในชีวิตหลายด้าน ความกดดันหลายอย่างจะค่อยๆชัดเจนมากขึ้นหลังจากเรียนจบและไปแข่งขันกันในตลาดแรงงาน แน่นอนว่าทุกคนอยากที่จะมีชีวิตที่ดีกว่า ดังนั้นก็ไม่แปลกที่คนรุ่นใหม่หลังเรียนจบจะเลือกเข้าไปทำงานในเมืองชั้นหนึ่งหรือเมืองชั้นสองที่มีศักยภาพ โดยในที่ทำงานก็ยังไม่เว้นมีสังคมของความเหลื่อมล้ำอีก แน่นอนว่าหลายครั้งเด็กเส้นที่มีคนสนับสนุนมักจะมีโอกาสความก้าวหน้าเข้ามาให้ไขว่คว้าได้มากกว่า ทางเลือกในชีวิตมีมากกว่า เป็นต้น

อย่างเช่น คนรุ่นใหม่จีนในเมืองรองที่เข้ามาทำงานสู้ชีวิตในเมืองชั้นหนึ่ง เป็นไปได้ยากมากที่จะไปสู้กับคนรุ่นใหม่ที่เป็นคนพื้นที่ในเมืองชั้นหนึ่งอยู่แล้ว เช่นในเรื่องของการหางาน หน่วยงานใหญ่หลายที่ไม่ว่าจะเอกชนหรือรัฐจะจำกัดการรับสมัครเอาไว้ว่าต้องมีทะเบียนบ้านในท้องที่ แล้วทุกวันนี้ที่ทำงานหลายแห่งในเมืองชั้นหนึ่งไม่มีโควต้าให้ย้ายทะเบียนบ้านเข้ามาในเมืองได้เช่นในอดีต เป็นหนึ่งในอุปสรรคและข้อจำกัดคนรุ่นใหม่ต่างถิ่นที่ต้องการมาหางานในเมืองใหญ่

ต่อมาคือต้นทุนของการอยู่อาศัยที่ส่วนใหญ่ต้องไปเช่าบ้านราคาแพงหูฉี่ ครั้นจะทำงานไปสักพักแล้วคิดจะซื้อบ้านของตัวเองก็เป็นไปได้ยากเพราะราคาที่แพงมหาโหดและข้อจำกัดด้านนโยบายหลายอย่างในการซื้อบ้านที่ยิบย่อย ขณะที่ธนาคารปล่อยกู้เงินซื้อบ้านยากกว่าแต่ก่อน อย่างเช่นในเมืองปักกิ่งราคาบ้านเฉลี่ยตารางเมตรละ 6.5 หมื่นหยวนหรือกว่า 3.25 แสนบาท (นอกจากว่าครอบครัวมีฐานะดีให้เงินสนับสนุน) การจะซื้อบ้านที่ปักกิ่งได้ต้องจ่ายเงินประกันสังคมหรือจ่ายภาษีรายได้ให้รัฐบาลปักกิ่งครบห้าปีเป็นต้นไป ระหว่างนี้จะขาดเดือนใดเดือนหนึ่งไม่ได้เลย อีกทั้งในปัจจุบันคนที่ไม่มีทะเบียนบ้านในปักกิ่ง การวางเงินดาวน์ซื้อบ้านในปักกิ่งหลังแรกต้องมีเงินก้อนใหญ่ คือ 30% ของราคาบ้านรวม จะเห็นได้ว่าแค่ความต่างของพื้นที่ ความเหลื่อมล้ำด้านการงานและที่อยู่อาศัยของคนรุ่นใหม่จีนในเมืองและต่างเมืองก็มีมากอยู่

ด้วยความต่างดังกล่าวยังนำมาซึ่งปัญหาการแต่งงานมีครอบครัวของคนจีนรุ่นใหม่ อย่างเช่นการที่ชายโสดชนบทมีจำนวนมากจนล้น บางหมู่บ้านผู้ชายอายุสามสี่สิบปีไม่แต่งงานมีอยู่เยอะ เพราะผู้หญิงชนบทส่วนใหญ่ พอเริ่มโตขึ้นหรือเรียนจบก็จะเข้าไปทำงานในเมืองและหาคู่ครองที่ฐานะดีกว่าตนเองในเมือง ไม่ค่อยมีใครอยากจะกลับไปแต่งงานกับผู้ชายที่อยู่ชนบท ทางกลับกันหญิงในเมืองหลวงที่มีฐานะและการศึกษาดีก็มักจะเลือกคู่ครอง เพราะสังคมที่มีวัตถุเป็นตัวนำทำให้สังคมคนรุ่นใหม่จีนมีความเหลื่อมล้ำชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของการแต่งงานและหาคู่ครอง ชายจีนสมัยใหม่ที่มีฐานะจะหาคู่ครองที่มีความเหมาะสมกันทั้งในเรื่องของฐานะและการงาน ตรงนี้ผู้เขียนขอยกตัวอย่างเพื่อนปักกิ่งรุ่นน้อง เคยเล่าให้ฟังว่ามีผู้หญิงมาติดเขามากมายแต่เขาจะไม่เลือกแต่งงานกับคนต่างถิ่น ยังไงก็ต้องเลือกคนปักกิ่งด้วยกันเท่านั้น ผู้เขียนเลยถามต่อถึงเหตุผล เขามองว่าถ้าเลือกผู้หญิงต่างถิ่นแต่งงานต่อไปอาจจะมีปัญหาตามมามากมาย เช่นญาติพี่น้องของฝ่ายหญิงอาจจะอพยพมาอยู่ปักกิ่งกันหมด ทำให้เขาไม่สามารถรับภาระนั้นได้ อีกทั้งหญิงต่างถิ่นที่ไม่มีบ้านของตัวเองจะมาหาผู้ชายในปักกิ่งแต่งงานก็เป็นไปได้ว่าจะมาคบหาเพื่อผลประโยชน์ เป็นต้น เอาเป็นว่าที่ทุกวันนี้คนรุ่นใหม่จีนในเมืองใหญ่เลือกที่จะแต่งงานช้าหรือจะไม่แต่งเลยก็มีเหตุผลของตนเองที่แตกต่างกันไป สุดท้ายแล้วก็หนีไม่พ้นปัจจัยด้านสังคมและฐานะ

ผู้เขียนมองว่าคนรุ่นใหม่ไม่ควรจะเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นมากนัก อยู่กับตัวเองและพัฒนาตัวเองคือสิ่งที่สำคัญและยั่งยืนที่สุดและการศึกษาสามารถเปลี่ยนชีวิตได้ก็ยังเป็นสิ่งที่ประจักษ์กันอยู่ในสังคมปัจจุบัน
#3836


เคทีซีปรับแผนธุรกิจหมวดบริจาครับวิถีใหม่ วางตัวเป็นสื่อกลางระหว่างสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีและพันธมิตรองค์กรการกุศลกว่า 60 แห่ง เพื่อร่วมกันช่วยเหลือสังคมในหลากหลายมิติ พร้อมเร่งพัฒนาแพลตฟอร์มช่องทางการบริจาค ออฟไลน์ ออนไลน์ และโมบายแอปพลิเคชั่น "KTC Mobile"

ล่าสุดเปิดรับบริจาคด้วยบัตรเครดิตผ่าน QR Pay และแลกคะแนนผ่าน QR Point ทางแอปฯ KTC Mobile เพื่อให้สมาชิกเข้าถึงการบริจาคได้ง่ายและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น หลีกเลี่ยงการเดินทางและลดการแพร่ระบาดจากไวรัสโควิด-19"



นางสาวสิรีรัตน์ คอวนิช ผู้อำนวยการ – ธุรกิจบัตรเครดิต "เคทีซี" หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "เคทีซีเข้าใจและตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบต่อสังคม ด้วยหวังว่าจะมีส่วนช่วยสร้างสังคมให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน โดยได้ดำเนินการช่วยเหลือสังคมในหลากหลายรูปแบบ ทั้งการร่วมเป็นจิตอาสา หรือการสบทบทุนในโครงการต่างๆ ซึ่งตลอด 15 ปีที่ผ่านมา เคทีซีได้ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการประชาสัมพันธ์สนับสนุนโครงการและกิจกรรมต่างๆ ระหว่างมูลนิธิกับสมาชิก พร้อมทั้งเปิดช่องทางรับบริจาคผ่านบัตรเครดิตให้กับสมาชิกเคทีซี เพื่อส่งต่อให้กับมูลนิธิหรือองค์กรการกุศลต่างๆ กว่า 60 แห่ง โดยปี 2563 มียอดบริจาคผ่านบัตรเครดิตเคทีซีด้วยคะแนน KTC FOREVER กว่า 50 ล้านคะแนน ยอดเงินบริจาครวม 300 ล้านบาท"

"สำหรับสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ที่รุนแรงและขยายวงกว้างขณะนี้ ภารกิจสำคัญที่สุดที่เคทีซีต้องดำเนินการ คือให้ความร่วมมือกับมูลนิธิต่างๆ ด้วยความกระตือรือร้นและรวดเร็ว เพื่อให้เข้าถึงผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือในหลากหลายรูปแบบได้อย่างทันท่วงที ไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วยติดเชื้อ ผู้กักกันตน โรงพยาบาลที่ขาดแคลนเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ หรือการสร้างศูนย์พักคอยรองรับผู้ป่วยสีเขียวในต่างจังหวัด โดยถือเป็นภาระเร่งด่วนที่สุดในการประสานกับมูลนิธิต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และเปิดช่องทางให้สมาชิกเคทีซีสามารถเข้าถึง เพื่อเสริมแรงสนับสนุน และช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบครั้งนี้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม"



ดร. บรรจงเศก ทรัพย์โสภา ผู้อำนวยการมูลนิธิ ซี.ซี.เอฟ. เพื่อเด็กและเยาวชนฯ กล่าวว่า "มูลนิธิได้ทำงานช่วยเหลือเด็กและเยาวชนในประเทศไทยมา 64 ปี ใน 3 รูปแบบ คือ 1. พัฒนาเด็กและเยาวชนไทยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี 2. พัฒนาเด็กและเยาวชนในชุมชนให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพเพื่อเป็นอนาคตของประเทศ 3. เน้นทำงานควบคู่กับเครือข่ายภาคี เช่น เคทีซี ภาครัฐและเอกชน รวมถึงองค์กรการกุศล 4. ปรับการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป เช่น โควิด-19"

"ผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้มูลนิธิต้องปรับตัวหลายด้าน ทั้งการทำงานที่ต้องปรับเปลี่ยนจากรูปแบบเดิมมาใช้รูปแบบออนไลน์มากขึ้น เช่น การเยี่ยมเด็ก และการทำกิจกรรมร่วมกับผู้นำชุมชน หรือโรงเรียน เพื่อรักษาระยะห่าง ที่ผ่านมามูลนิธิได้รับความช่วยเหลือจากสมาชิกเคทีซีค่อนข้างมาก ในรูปแบบของเงินบริจาคผ่านบัตรเครดิต และการบริจาคผ่านการแลกคะแนน และในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 นี้ มูลนิธิฯ อยากผลักดันการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายต่างๆ และอาสาสมัครเพื่อร่วมกันบรรเทาผลกระทบของการแพร่ระบาดครั้งนี้ มูลนิธิฯ ซี.ซี.เอฟ. ฯ ได้จัดตั้งศูนย์พักคอยชุมชนและแยกกักกันในต่างจังหวัดเพื่อให้การดูแลผู้ป่วยโควิด-19 กลุ่มสีเขียว ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นมาก เพราะส่วนใหญ่ศูนย์พักคอยมักจะอยู่ในเขตกรุงเทพฯ หรือในเขตเมือง ปัจจุบันเรามีศูนย์ฯ ที่สนับสนุนอยู่ในต่างจังหวัดทั้งหมด 37 แห่ง และกำลังจะสนับสนุนเพิ่ม 16 แห่ง แต่ยังขาดแคลนด้าน เวชภัณฑ์ อาหาร และสิ่งต่างๆ ที่จำเป็นในการดูแลผู้ป่วยมาก"

นายขรรค์ ประจวบเหมาะ ผู้อำนวยการสำนักงานจัดหารายได้ สภากาชาดไทย กล่าวว่า "สภากาชาดไทยเป็นองค์กรสาธารณกุศล เพื่อบรรเทาทุกข์ช่วยเหลือประชาชนผู้ตกทุกข์ได้ยากในสังคม ซึ่งจากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 สภากาชาดไทยก็ได้รับผลกระทบในหลายด้านเช่นกัน ได้แก่ 1.บริการทางการแพทย์ บุคลากรและอุปกรณ์การแพทย์ไม่เพียงพอ กับจำนวนผู้ป่วยที่ต้องการเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มสูงขึ้น 2. บริการโลหิต เกิดภาวะวิกฤตประชาชนไม่มั่นใจที่จะมาบริจาคเพราะห่วงความปลอดภัย 3. การหารายได้เข้ามูลนิธิ เพื่อใช้บริหารความช่วยเหลือไม่เป็นไปตามแผน เนื่องจากประชาชนมีกําลังในการบริจาคลดลง ซึ่งการที่เคทีซีเป็นพันธมิตรในการเผยแพร่ข่าวสารและจัดแคมเปญต่างๆ เพื่อเพิ่มยอดรับบริจาคผ่านช่องทางของเคทีซี ถือเป็นการขยายโอกาสให้ผู้คนสามารถเข้าถึงการแบ่งปันและการช่วยเหลืออย่างมาก ซึ่งรายได้จากการบริจาคจะนําไปใช้ช่วยเหลือประชาชนตามภารกิจต่างๆ ทั้งการรักษาพยาบาล บรรเทาทุกข์ ผู้ประสบภัย บริการโลหิต และการส่งเสริมคุณภาพชีวิต รวมไปถึงสถานการณ์เร่งด่วนในขณะนี้คือ การช่วยเหลือและเยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19"

"ปัจจุบันสภากาชาดไทยยังมีโครงการจัดครัวเคลื่อนที่ ทําอาหารปรุงสุกให้ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 การแจกชุดธารน้ำใจให้ผู้กักตน ผู้สูงวัยที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ผู้ติดเชื้อโควิด และดูแลรักษาผู้ติดเชื้อ โควิดของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ รวมถึง Hospitel และ Home Isolation เฉลี่ยวันละ 800-900 ราย รวมถึงสร้างหอผู้ป่วยสนามเร่งด่วนและจัดซื้อเครื่องมือแพทย์ในการรักษาผู้ป่วยโควิด ทั้งนี้สมาชิกเคทีซีสามารถร่วมบริจาคด้วยการแลกคะแนนสะสมเป็นเงินบริจาค นอกเหนือจากการบริจาคด้วยบัตรเครดิต เพื่อร่วมสมทบทุนเข้าโครงการต่างๆ ของสภากาชาดไทย โดยสามารถติดตามข่าวสารของสภากาชาดไทยผ่านเคทีซีในทุกๆ ช่องทางได้อีกด้วย"



นางสาวจุฑารัตน์ วิบูลสมัย ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาแหล่งทุน มูลนิธิสร้างรอยยิ้ม กล่าวว่า "มูลนิธิเป็นองค์กรการกุศลทางการแพทย์ที่ไม่แสวงหาผลกำไร ก่อตั้งที่ประเทศสหรัฐอเมริกาในพ.ศ. 2525 และก่อตั้งในไทยเมื่อพ.ศ. 2540 มีภารกิจหลักในการช่วยเหลือผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะปากแหว่งเพดานโหว่ รวมถึงแผลจากไฟไหม้ น้ำร้อนลวก นิ้วติด นิ้วเกิน หรือใบหน้าที่ผิดรูป โดยมูลนิธิได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับเคทีซี ในการรับบริจาคผ่านบัตรเครดิตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่พ.ศ. 2557 รวมทั้งพนักงานเคทีซียังได้ร่วมเป็นจิตอาสาประกอบแฟ้มผู้ป่วย เพื่อใช้เก็บประวัติข้อมูลผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่ที่จะเข้ารับการผ่าตัด"

"ในช่วงสถานการณ์โควิดทำให้มูลนิธิไม่สามารถปฏิบัติการออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ให้การผ่าตัดที่ต่างจังหวัดได้ ซึ่งโดยปกติปีหนึ่งจะมีการวางแผนออกหน่วย 4 ครั้งต่อปี ใน 4 จังหวัด ครั้งหนึ่งประมาณ 7 วัน โดยไปทำการผ่าตัดให้ผู้ป่วยเด็กเฉลี่ย 80 - 100 คน อย่างไรก็ตาม มูลนิธิฯ ยังดำเนินการ "โครงการผ่าตัดแบบต่อเนื่อง" โดยให้งบสนับสนุนกับโรงพยาบาลในจังหวัดต่างๆ ที่มีศัลยแพทย์ จึงยังคงสามารถผ่าตัดผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่ได้ต่อเนื่อง ซึ่งการรักษาเด็กที่มีภาวะปากแหว่งเพดานโหว่ ต้องได้รับการผ่าตัดมากกว่า 1 ครั้ง บางคนต้องผ่าตัด 3 - 5 ครั้ง นอกจากนี้ยังมีโครงการ "Smile Box" กล่องแห่งรอยยิ้ม ซึ่งบรรจุผ้าอ้อมเด็ก นมผง หน้ากากอนามัย อุปกรณ์การเรียน แผ่นพับที่ให้ความรู้ในการดูแลเด็ก และขวดนมที่มีลักษณะยาวพิเศษสำหรับเด็ก ปากแหว่งเพดานโหว่ เพื่อส่งให้กับผู้ป่วยเด็กที่เราเคยผ่าตัดไปแล้ว กับผู้ป่วยที่ยังไม่ได้รับการผ่าตัด โดยส่งไปแล้วประมาณ 200 กล่อง และสำหรับแผนงานในปีหน้า เมื่อสถานการณ์โควิดดีขึ้น ทางมูลนิธิหวังว่าจะสามารถออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ผ่าตัดที่ต่างจังหวัดได้ตามเดิม"

นางสาวอรุณี อัชชะกุลวิสุทธิ์ ผู้อำนวยการแผนกส่งเสริมความร่วมมือภาคเอกชน UNHCR กล่าวว่า "สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติก่อตั้งมายาวนานถึง 70 ปี โดยมีบทบาทให้ความช่วยเหลือ ผู้ลี้ภัยที่มีเหตุการณ์ในประเทศ เช่น สงคราม หรือความขัดแย้งทำให้ไม่สามารถอยู่ในประเทศตนเองได้ ซึ่งตอนนี้มีจำนวนถึง 82.4 ล้านคนทั่วโลก ปัจจุบันเราทำงานใน 135 ประเทศ และร่วมงานกับประเทศไทยมานาน 46 ปี"

"ไวรัสโควิด-19 พิสูจน์แล้วว่าไวรัสไม่ได้แบ่งเชื้อชาติ ศาสนา หรือกลุ่มคน กลุ่มผู้ลี้ภัยก็มีการแพร่ระบาดของไวรัสเช่นกัน และอยู่ในความเสี่ยงสูงมากจากข้อจำกัดต่างๆ UNHCR ได้ระดมกำลังเพื่อเข้าช่วยเหลือผู้ลี้ภัยและบุคคลในความห่วงใยทั้งในและนอกค่ายทั่วโลกให้ได้รับความเท่าเทียม โดยไม่เลือกปฏิบัติ เพิ่มจุดแจกจ่ายน้ำให้มากขึ้น จุดล้างมือ จุดแจกจ่ายสบู่ หรือหน้ากากอนามัย และสิ่งสำคัญที่สุดคือ การอบรมให้ทราบถึงการเว้นระยะห่าง การรักษาพยาบาลเพิ่มเติม กรณีมีเคสผู้ป่วย กลุ่มแพทย์และพยาบาลต้องรับรู้เคสและสามารถรักษาผู้ป่วยเหล่านี้ รวมทั้งสร้างพื้นที่ในการคัดแยกผู้ป่วยอีกด้วย"

"ความช่วยเหลือจากทุกๆ ฝ่ายเป็นเรื่องสำคัญ สำหรับ UNHCR มีผู้บริจาคที่มีคุณภาพผ่านบัตรเครดิตแบบต่อเนื่องค่อนข้างมาก จากสถิติผู้ลี้ภัยตกอยู่ในสถานะนี้โดยเฉลี่ยถึง 17 ปี ดังนั้นการบริจาคต่อเนื่องจะช่วยให้เรามีงบประมาณในการช่วยชีวิตผู้ลี้ภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเรามุ่งเน้นช่วยกลุ่มที่เปราะบางเพราะ 80% ของผู้ลี้ภัยคือ ผู้หญิงและเด็ก ช่องทางการบริจาคผ่านบัตรเครดิตเคทีซีเป็นวิธีที่ง่าย แต่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้อย่างยั่งยืน ในอนาคตจะมีโครงการมอบทุนให้กับผู้ลี้ภัยทั่วโลก เพราะผู้ลี้ภัยเพียง 3% ที่ได้รับการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย รวมถึงวิกฤติด้านมนุษยธรรมล่าสุดในอัฟกานิสถาน เราจึงอยากมอบโอกาสและอนาคตที่ดีให้กับผู้ลี้ภัยด้วยกัน"

นางสาวสิรีรัตน์ คอวนิช ผู้อำนวยการ – ธุรกิจบัตรเครดิต "เคทีซี" กล่าวทิ้งท้าย "ยุคที่ต้องเว้นระยะห่างและหลีกเลี่ยงการเดินทาง เพื่อลดการติดเชื้อโควิด-19 นั้น เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มูลนิธิและองค์กรการกุศลต่างๆ ต้องเผชิญกับภาวะที่ได้รับการสนับสนุนจากสังคมลดน้อยลง ดังนั้นเคทีซีจึงตั้งใจพัฒนาแพลตฟอร์มช่องทางการบริจาค ทั้งออฟไลน์ ออนไลน์ และโมบายแอปพลิเคชั่น โดยล่าสุดได้พัฒนาช่องทางออนไลน์ ด้วยฟังก์ชันการบริจาคผ่านบัตรเครดิตด้วย QR Pay การบริจาคด้วยคะแนนผ่าน QR Point โดยแลกคะแนนผ่านแอปฯ "KTC Mobile" เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับสมาชิกเคทีซีสามารถมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือสังคมได้ง่ายขึ้น"
#3837


เมื่อวันที่ 26 ส.ค. เวลา 15.00 น. เจ้าหน้าที่จาก กอ.รมน.จังหวัดสมุทรปราการ พร้อมตำรวจจากสภ.บางพลี และฝ่ายปกครอง อ.บางพลี สนธิกำลังเข้าตรวจค้นภายในโรงพยาบาลสนาม 5 ตั้งอยู่ริมคลองส่งน้ำ ต.บางปลา อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ หลังมีเบาะแสจากเจ้าหน้าที่พยาบาลที่ดูแลโรงพยาบาลสนามสมุทรปราการรวมใจ 5 ว่า ผู้ป่วยในโรงพยาบาลสนามทั้งชายและหญิงมั่วสุมมีเซ็กซ์หมู่ และก่อเหตุทะเลาะวิวาท ซึ่งฝ่าฝืนข้อบังคับของโรงพยาบาลสนาม

โดยการตรวจค้น เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายต้องแต่งกายด้วยชุด PPE เพื่อป้องกันเต็มระบบ เข้าค้นภายในโรงพยาบาลสนามที่มีผู้ป่วยเข้าพักกว่า 900 เตียงจากทั้งหมด 3,000 เตียง และทางเจ้าหน้าที่สามารถตรวจค้นบุหรี่ได้ 23 ซอง และบุหรี่ไฟฟ้าและน้ำยาเติมบุหรี่ไฟฟ้า และทำการตรวจยึดตามระเบียบของโรงพยาบาลฯ

พ.อ.กฤษภาณุ จำนงค์วงศ์ หน.กลุ่มงานนโยบายแผนและการข่าว ส่วนปฏิบัติการ กอ.รมน.จังหวัดสมุทรปราการ เปิดเผยว่า การเข้าตรวจครั้งนี้สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ทราบเบาะแสมีผู้ป่วยในโรงพยาบาลบางกลุ่มฝ่าฝืนระเบียบคำสั่งของโรงพยาบาลสนามฯ ปัญหาบุคคลภายนอกแอบลักลอบส่งสิ่งของให้แกาผู้ป่วย ปัญหาการทะเลาะวิวาทระหว่างผู้ป่วย การทำร้ายร่างกาย เจ้าหน้าที่จึงสนธิกำลังสุ่มตรวจภายในบริเวณหอพักผู้ป่วยของโรงพยาบาลสนามเพื่อค้นหาอาวุธ ยาเสพติด และสิ่งผิดกฎหมายต่างๆ เพื่อให้การดูแลความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยภายในโรงพยาบาลสนามเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และเพื่อป้องปรามการกระทำความผิด การฝ่าฝืนระเบียบคำสั่ง การทะเลาะวิวาท และเพื่อลดปัญหาด้านยาเสพติดภายใน รพ.สนาม
#3838


ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) สรุปมูลค่าการซื้อขายตามกลุ่มนักลงทุนวันที่ 26ส.ค.2564  พบว่า สถาบันในประเทศ (กองทุน) จับมือขายสุทธิออกมา 653.18 ล้านบาท พร้อมกับนักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ  343.54  ล้านบาท  ส่วนบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ซื้อสุทธิ 20.41 ล้านบาท   และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิมากสุด 976.31 ล้านบาท

นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้เคลื่อนไหวทรงตัว คล้ายกับตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชียแกว่งทั้งในแดนบวก-ลบ โดยวอลุ่มเทรดบ้านเราแผ่วลงช่วงรอการประชุมประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เมืองแจ็คสันโฮล ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ต้องติดตาม
          
นอกจากนี้ ดัชนีขึ้นมาแถว 1,600 ทำให้ตลาดฯมี Upside จำกัด และสัปดาห์หน้าก็จะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล  ส่วนการที่ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) จะคลายล็อกดาวน์ก็คงออกมาไม่แตกต่างจากที่ตลาดคาดไว้ คือ การเปิดห้างสรรพสินค้า และร้านอาหาร
          
อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในประเทศ และการชุมนุมใหญ่ทางการเมืองในวันอาทิตย์นี้ ส่วนนอกประเทศติดตามดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือน ก.ค.ของสหรัฐฯที่จะออกมาในวันพรุ่งนี้ ซึ่งเป็นตัวที่เฟดจะนำมาใช้ในการดูนโยบายการเงินด้วย

แนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (27 ส.ค.) นายณัฐพล กล่าวว่า ตลาดฯน่าจะแกว่งไซด์เวย์ในช่วงรอการประชุมเฟด พร้อมให้แนวรับ 1,590 จุด ส่วนแนวต้าน 1,610 จุด
#3839


น้อยคนนักจะรู้ว่า "ครีมกันแดด" นั้นมีส่วนผสมที่สามารถทำร้ายสิ่งแวดล้อมได้ ซึ่งหลายคนมองข้ามจุดนี้ไป เพื่อรักษาผิวกายให้สวยงามแต่หลงลืมเรื่องการรักษาธรรมชาติรอบๆ ตัว กระทั่งในปัจจุบันเริ่มมีกระแสการใช้ผลิตภัณฑ์รักษ์โลกมากยิ่งขึ้น อีกทั้งทางกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้มีประกาศการงดใช้ครีมกันแดดที่มีส่วนผสมทำร้ายปะการัง จึงทำให้หลายคนที่ใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ เกิดความตระหนัก และเริ่มมองหาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และแบรนด์ "KAANI" ครีมกันแดดฝีมือคนไทย ก็เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่สามรถตอบโจทย์ทั้งเรื่องกันแสงแดด ดูแลผิว และรักษ์สิ่งแวดล้อม ไปพร้อมๆ กันได้

นางสาวชนิภา สารสิน (ซ้าย) นายพชร สนิทวงศ์ ณ อยุธยา (กลาง) นางสาวดิษย์ลดา ดิษยนันท์ (ขวา) สามเพื่อนซี้ที่ชื่นชอบการดำน้ำ ผู้ร่วมกันก่อตั้งแบรนด์ "KAANI" 
นางสาวชนิภา สารสิน (ซ้าย) นายพชร สนิทวงศ์ ณ อยุธยา (กลาง) นางสาวดิษย์ลดา ดิษยนันท์ (ขวา) สามเพื่อนซี้ที่ชื่นชอบการดำน้ำ ผู้ร่วมกันก่อตั้งแบรนด์ "KAANI"

นางสาวชนิภา สารสิน หนึ่งในผู้ก่อตั้งแบรนด์ "KAANI" (คานิ) เล่าถึงจุดเริ่มต้นว่า ครีมกันแดดรักษ์โลก เกิดขึ้นจากความร่วมมือกันกับ นายพชร สนิทวงศ์ ณ อยุธยา และ นางสาวดิษย์ลดา ดิษยนันท์ ที่ได้มารู้จักและได้เป็นเพื่อนกันเนื่องจากชื่นชอบกิจกรรมดำน้ำเหมือนกัน และด้วยการเห็นความงดงามของโลกใต้ท้องทะเลที่สวยแปลกตาต่างจากโลกบนดิน ทำให้เราทั้งสามคนได้ตระหนักว่าธรรมชาติโลกใต้ท้องทะเลนั้น ก็มีชีวิตและเปราะบางเหมือนกับธรรมชาติบนพื้นดิน และในการดำน้ำและการเที่ยวทะเลในทุกๆ ครั้ง ก็ต้องมีการใช้ครีมกันแดดซึ่งส่วนใหญ่มีสวนผสมของสารที่ทำร้ายปะการัง และก่อมลพิษทางอ้อม จึงได้มีการเปลี่ยนมาใช้ครีมกันแดดสูตร Reef-safe ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แต่เมื่อนำมาใช้ที่ประเทศไทยกลับไม่ตอบโจทย์ในการใช้ เพราะอากาศร้อนจึงทำให้ครีมเหนียวเหนอะหนะ และด้วยเหตุนี้ครีมกันแดดรักษ์โลกฝีมือคนไทยจึงได้เกิดขึ้นในชื่อแบรนด์ "KAANI"

นางสาวชนิภา สารสิน หนึ่งในผู้ก่อตั้งแบรนด์ "KAANI" 
นางสาวชนิภา สารสิน หนึ่งในผู้ก่อตั้งแบรนด์ "KAANI"

ในช่วงแรกในการทำการตลาดนั้น ทางแบรนด์ KAANI ได้ผลิตครีมกันแดดเพื่อตอบโจทย์กลุ่มนักดำน้ำ และกลุ่มผู้ที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวทะเลที่ใส่ใจในเรื่องสิ่งแวดล้อม ในรุ่น "AcTive" โดยได้ได้มีการขายผ่านช่องทางออนไลน์ ร้านผลิตภัณฑ์รักสิ่งแวดล้อม และในโรงแรมในพื้นที่ท่องเที่ยวชายทะเล ซึ่งก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เพราะเนื้อครีมของ KAANI นั้น ไม่เหนียวเหนอะหนะและกันแดดได้ดีทำให้ลูกค้าชื่นชอบ อีกทั้งยังมีประกาศจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ประกาศห้ามนำครีมกันแดดที่มีส่วนประกอบของสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อปะการังเข้าไปในอุทยานแห่งชาติ จึงทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น ในการเป็นครีมกันแดดรักษ์โลกที่เกิดขึ้นจากฝีมือคนไทย



และแม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ทำให้การท่องเที่ยวทางทะเลในหลายๆ แห่งต้องหยุดชะงัก แต่ครีมกันแดดของทางแบรนด์ก็ยังได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เนื่องจากมีส่วนผสมที่เป็นมิตรต่อร่างกายและสิ่งแวดล้อม ทำให้ไม่เกิดเป็นสารตกค้างในร่างกาย และด้วยเนื้อครีมที่สัมผัสแล้วสบายผิว จึงทำให้แบรนด์ KAANI สามารถตอบโจทย์กลุ่มลูกค้ากลุ่มอื่นๆ ได้ดีอีกด้วย โดยเฉพาะลูกค้ากลุ่ม "แม่และเด็ก" ที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายแรกเริ่ม แต่แบรนด์สามารถตอบโจทย์ในเรื่องความอ่อนโยนของผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กได้ ซึ่งทำให้คุณแม่หลายๆ คนไว้วางใจแบรนด์ในการเป็นครีมกันแดดสำหรับลูกๆ



และด้วยการตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าได้หลากหลาย ทางแบรนด์จึงต่อยอดด้วยการเพิ่มผลิตภัณฑ์รุ่น "Everyday" ซึ่งทางแบรนด์ได้เน้นการตลาดในเรื่องการให้ความสำคัญในการใช้ครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิว เนื่องจากในแสงแดดมีรังสีอยู่มากมาย และบางชนิดก็สามารถสร้างผลกระทบในระยะยาวให้กับผิวหนังได้ และได้ผลพลอยได้คือการได้รักษ์สิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน ทำให้เรื่องการดูแลผิวกายและการดูแลธรรมชาติกลายเป็นเรื่องใกล้ตัว และสามารถทำได้ในทุกๆ วัน ด้วยแนวคิดนี้จึงทำให้แบรนด์ได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้ามากขึ้น



"หลายคนคิดว่าถ้าใช้ผลิตภัณฑ์หรือครีมกันแดดแบบรักษ์โลก จะต้องแลกกับอะไรบางอย่าง เช่น ความเหนียวเหนอะหนะไม่สบายผิว หรือกันแดดได้ไม่ดี เพราะขาดส่วนประกอบบางชนิด เนื่องจากคนไทยส่วนใหญ่กลัวผิวคล้ำ แต่ KAANI ตอบโจทย์ในเรื่องนี้ได้ ไม่ต้องแลกกับอะไร"  .... นางสาวชนิภา หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์กล่าวเสริม



นอกจากจุดเด่นในเรื่องการเป็นผลิตภัณฑ์รักษ์โลกแล้ว อีกหนึ่งจุดเด่นของครีมกันแดด KAANI ที่ทำให้ลูกค้ายอมรับนั้น ก็คือส่วนผสมที่ทางแบรนด์ใช้เวลากว่า 1 ปี ในการพัฒนาส่วนผสมต่างๆ ให้เหมาะสมกับสภาพอากาศและวิถีชีวิตของคนไทย ด้วยสูตร Reef-safe ครีมกันแดดที่ไม่ใส่สารเคมี ในแบบ Physical sunscreen ร้อยเปอร์เซ็นต์ ที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นกระจกสะท้อนหรือหักเหรังสี UV ออกไปจากผิว ทำให้เนื้อครีมสัมผัสไม่เหนียวเหนอะหนะสบายผิว ไม่ทำให้เกิดอาการแพ้และไม่มีสารตกค้าง ทำให้ลูกค้าที่ใช้สามารถลืมภาพครีมกันแดดที่เหนียวเหนอะหนะไปได้ และยอมรับในการใช้ผลิตภัณฑ์รักษ์โลกได้อย่างสบายใจ



อีกหนึ่งจุดเด่นของแบรนด์ก็คือ การนำมาตรฐานของ "สาธารณรัฐปาเลา" หนึ่งในประเทศที่ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิคที่ขึ้นชื่อเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวทางทะเล ที่ได้มีการออกกฎหมายแบนสารเคมีในครีมกันแดดมากกว่า 10 ชนิด ซึ่งเป็นมาตรฐานที่สูงที่สุดในโลกมาเป็นมาตรฐานของแบรนด์ จึงทำให้ครีมกันแดด KAANI ไม่ได้ตอบโจทย์แค่เฉพาะในตลาดประเทศไทย แต่ยังตอบโจทย์และสามารถนำไปใช้ในหลายๆ ประเทศทั่วโลกได้อีกด้วย เนื่องจากในปัจจุบันประเทศต่างๆ ทั่วโลก ต่างให้ความสำคัญในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เพราะวิกฤตสภาวะโลกร้อนที่ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ครีมกันแดดจากฝีมือคนไทย "KAANI" จึงเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ทั้งการดูแลผิวและดูแลสิ่งแวดล้อม ไปพร้อมๆ กันได้เป็นอย่างดี
#3840


เพจ "ที่นี่เขาใหญ่" รายงานความคืบหน้ากรณีนักท่องเที่ยวป้อนอาหาร-นม กวางในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เผย รู้เท่าไม่ถึงการณ์ และขอน้อมรับความผิดที่ไม่มีศึกษากฎก่อนเข้าไปเที่ยว

จากกรณี โซเชียลแห่แชร์ภาพครอบครัวหนึ่ง ได้มาพักผ่อนในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ระหว่างนั้นได้มีกวาง เดินมาหาอาหาร และครอบครัวนักท่องเที่ยวได้มีการป้อนอาหาร-นม ที่นำมาให้แก่กวาง แต่โชคร้ายกวางตัวดังกล่าวได้กินกล่องนมนมเข้าไปทั้งกล่อง ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวชาวเน็ตต่างเป็นห่วงสุขภาพของกวางหวั่นเกิดอันตรายตามมา

ล่าสุด เมื่อวันที่ 26 ส.ค. เพจ "ที่นี่เขาใหญ่" ได้โพสต์ข้อความรายงานความคืบหน้าจากกรณีที่เกิดขึ้น เผยว่า นักท่องเที่ยวกลุ่มดังกล่าว ได้แสดงความรับผิดชอบโดยการเสียค่าปรับจำนวน 5,000 บาท เนื่องจากกระทำการผิด พ.ร.บ. อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 มาตรา 20 ประกอบระเบียบกรมอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2563 ข้อ 6 (2)

ทางเพจระบุข้อความว่า "คนทำผิด แล้วขอโทษด้วยความจริงใจ เราต้องให้อภัย ทางเพจได้รับการติดต่อจากครอบครัว กรณีนำอาหารให้กวางบนเขาใหญ่ ทางกรรมการเพจข่าวที่นี่เขาใหญ่ และผู้หลักผู้ใหญ่ เห็นชอบตามร้องขอ และขอให้ช่วยแสดงหลักฐานการเสียค่าปรับด้วยเพื่อความถูกต้องทุกๆฝ่าย

ดิฉันเป็นครอบครัวที่ไปให้อาหารสัตว์ที่เขาใหญ่โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์จริงๆค่ะ เราได้อธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมน้อมรับความผิด และติดต่ออุทยานเพื่อขอชำระค่าปรับแล้วค่ะ ในโพสต์มีภาพเด็กๆ ซึ่งน้องๆ รักสัตว์ แต่ผิดที่พวกเราไม่ศึกษากฎก่อนเข้าไป จนเกิดเหตุขึ้นทางเราอยากจะขออนุญาตให้ทางเพจช่วยลบโพสต์จะได้มั้ยคะ เพราะส่วนหนึ่งเด็กๆอ่านหนังสือได้แล้ว และเห็นคนต่อว่ามากมาย เขากังวล เครียด พ่อแม่เองก็รู้สึกผิดไม่แพ้กัน เมื่อความผิดพลาดเกิดเราก็น้อมรับความผิด และไม่ได้หนี หรือเงียบหายไปค่ะ

เราจึงอยากจะขอความกรุณาลบโพสต์ให้หน่อยค่ะ จะเป็นพระคุณอย่างยิ่งค่ะ "