• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - fairya

#8386
ขายดาวน์  215,800 ( กค 2564 ) ห้อง 812
#8387
สนใจติดต่อคุณเป้ง 087-347-6299
https://gladnessaccounting.co.th

สำนักงานบัญชีนนทบุรี  สำนักงานบัญชีบางกรวย  สำนักงานบัญชีบางใหญ่  สำนักงานบัญชีบางบัวทอง  สำนักงานบัญชีไทรน้อย  สำนักงานบัญชีปากเกร็ด  สำนักงานบัญชีบางศรีเมือง  สำนักงานบัญชีพิมลราช  สำนักงานบัญชีบางคูรัด  สำนักงานบัญชีบางรักพัฒนา  สำนักงานบัญชีบางแม่นาง  สำนักงานบัญชีบางกร่าง  สำนักงานบัญชีไทรม้า  สำนักงานบัญชีตลาดขวัญ  สำนักงานบัญชีบางตะไนย์  สำนักงานบัญชีบางพลับ  สำนักงานบัญชีบางรักน้อย  สำนักงานบัญชีมหาสวัสดิ์  สำนักงานบัญชีศาลากลางนนทบุรี  สำนักงานบัญชีอ้อมเกร็ด  สำนักงานบัญชีแจ้งวัฒนะ  สำนักงานบัญชีถนนกาญจนาภิเษกนนทบุรี  สำนักงานบัญชีถนนจงถนอม-ไทรน้อย  สำนักงานบัญชีถนนชัยพฤกษ์  สำนักงานบัญชีถนนติวานนท์  สำนักงานบัญชีถนนทวีวัฒนา  สำนักงานบัญชีถนนเทศบาลจังหวัดนนทบุรี  สำนักงานบัญชีถนนเทิดพระเกียรติ  สำนักงานบัญชีท่าอิฐ  สำนักงานบัญชีถนนนครอินทร์  สำนักงานบัญชีบางม่วง  สำนักงานบัญชีบางกรวย-จงถนอม  สำนักงานบัญชีถนนบางไกรใน  สำนักงานบัญชีบางกรวย-ไทรน้อย  สำนักงานบัญชีบางคูเวียง  สำนักงานบัญชีบางศรีเมือง  สำนักงานบัญชีถนนวัดโบสถ์ดอนพรหม  สำนักงานบัญชีไทรม้า  สำนักงานบัญชีถนนพิบูลสงคราม  สำนักงานบัญชีถนนราชพฤกษ์  สำนักงานบัญชีตลิ่งชัน  สำนักงานบัญชีถนนเรวดี  สำนักงานบัญชีถนนเลี่ยงเมืองนนทบุรี  สำนักงานบัญชีถนนศรีสมาน
#8388



และร่วมกันนำองค์ความรู้ที่ได้จากงานวิจัยไปต่อยอดสู่การใช้ประโยชน์ทั้งในเชิงนโยบาย เชิงสาธารณะ และเชิงพาณิชย์ ตลอดจนถ่ายทอดเทคโนโลยีและส่งเสริมความร่วมมือทางวิชาการกับภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยที่ผ่านมาแต่ละหน่วยงานได้มีการดำเนินงานในการวิจัยพัฒนาและส่งเสริมในเรื่องของกัญชงมาอย่างต่อเนื่อง


นายวิรัตน์ ปราบทุกข์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง เปิดเผยว่า สถาบันวิจัยและและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) หรือ สวพส. ร่วมกับ มูลนิธิโครงการหลวง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้วิจัยและพัฒนากัญชง (Hemp) เพื่อให้เป็นพืชเศรษฐกิจบนพื้นที่สูง มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ ปี พ.ศ.2549 จนถึงปัจจุบัน ผลการวิจัยและพัฒนา ทำให้จากอดีตที่แม้แต่การใช้ประโยชน์ตามภูมิปัญญาและวิถีของชนเผ่าม้ง เพื่อทำเครื่องนุ่งห่มและใช้สอยในครัวเรือนนั้น ยังผิดกฎหมาย คือ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มีข้อมูลและองค์ความรู้ที่นำมาสู่แก้ไขกฎหมาย เพื่อส่งเสริมกัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจ  

โดยอาศัยความร่วมมือของหลายภาคส่วน และผลการวิจัยและพัฒนาจำนวนไม่น้อย นับจากปีพ.ศ. 2549-จนถึงปัจจุบัน กว่า 15 ปี เริ่มจากการพัฒนาพันธุ์เพื่อให้มีสารเสพติดต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด การพัฒนาวิธีการเพาะปลูก การแก้กฎหมาย และสร้างการตลาด เพื่อให้สามารถปลูกเป็นอาชีพได้จริง ในช่วงแรกๆ มุ่งการใช้ประโยชน์จากเส้นใยสำหรับในครัวเรือน ต่อมาขยายการศึกษาวิจัยสู่การใช้ประโยชน์จากแกน ลำต้น เมล็ด และเส้นใยในเชิงอุตสาหกรรม และนำไปสู่การศึกษาวิจัยที่มุ่งการใช้ประโยชน์ครอบคลุมทุกส่วน ทั้งเส้นใย เมล็ด และช่อดอก สำหรับอาหาร เวชสำอาง และการแพทย์ ในขณะนี้ โดยมีผลงานที่สำคัญคือ

ระยะที่ 1 ปี พ.ศ.2549-2554 ปรับปรุงและขึ้นทะเบียนพันธุ์ 4 พันธุ์ เป็นพันธุ์ที่มีปริมาณ THC ต่ำกว่า 0.3% คือ RPF1, RPF2, RPF3 และ RPF4 ควบคู่กับวิจัยและพัฒนาวิธีการเพาะปลูกที่เหมาะสม ได้แก่ ระยะปลูก ช่วงเวลาปลูก อายุเก็บเกี่ยว และระบบการปลูกเฮมพ์อย่างถูกต้องตามกฎหมาย การแปรรูปผลิตภัณฑ์ การตลาด และนำข้อมูลไปสู่การจัดทำแผนยุทธศาสตร์การส่งเสริมการปลูกเฮมพ์เป็นพืชเศรษฐกิจบนพื้นที่สูง (2552-2556) แผนปฏิบัติการพัฒนาเฮมพ์บนพื้นที่สูง ระยะ 5 ปี (พ.ศ.2553-2557) และแผนปฏิบัติการพื้นที่นำร่องส่งเสริมการปลูกเฮมพ์ใน 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่น่าน เชียงราย ตาก และเพชรบูรณ์


ระยะที่ 2 ปี พ.ศ.2555-2559 สวพส. ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ วิจัยและพัฒนาตามแผนยุทธศาสตร์การส่งเสริมการปลูกเฮมพ์เป็นพืชเศรษฐกิจบนพื้นที่สูง ได้แก่ กองควบคุมวัตถุเสพติด สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ดำเนินการเพื่อแก้ไขกฎหมายให้สามารถปลูกเฮมพ์ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย สถาบันสำรวจและติดตามการปลูกพืชเสพติด สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) พัฒนาระบบควบคุมการปลูกที่เหมาะสม และสนับสนุนการดำเนินงานของสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Institute of Small and Medium Enterprises Development, ISMED) กระทรวงอุตสาหกรรม ดำเนิน "โครงการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมเฮมพ์อย่างสร้างสรรค์แบบครบวงจร" เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์จากส่วนต่างๆ ของกัญชงที่เชื่อมโยงสู่ภาคปฏิบัติในโรงงานอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป และ สวพส. ได้ศึกษาวิจัยต่อเนื่อง ในด้านการศึกษาระบบส่งเสริมการปลูกภายใต้ระบบควบคุม ในพื้นที่นำร่อง 5 จังหวัด

การพัฒนาระบบการผลิตเมล็ดพันธุ์เฮมพ์ภายใต้ระบบควบคุม การพัฒนาชุดตรวจปริมาณ THC ภาคสนาม (THC test kit) ร่วมกับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์จากเส้นใยเฮมพ์ที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด เช่น เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม เฟอร์นิเจอร์ วัสดุก่อสร้าง การวิจัยและพัฒนาต้นแบบอาหารสุขภาพจากเมล็ดเฮมพ์ เช่น น้ำมันในแคปซูล และโปรตีนอัดเม็ด ซึ่งพบว่าเมล็ดกัญชงที่มีอยู่ในปัจจุบัน 4 พันธุ์ มีน้ำมัน 28.06-29.62 % และเมื่อสกัดด้วยวิธีการบีบเย็นจะได้ผลผลิตน้ำมัน 22.29% ซึ่งมีกรดไขมันได้แก่โอเมก้า 3, โอเมก้า 6 และโอเมก้า 9 เท่ากับ 20.91, 58.23, 9.74 กรัมต่อน้ำมันเฮมพ์ 100 กรัม และมีโปรตีนที่ในกากเมล็ดเฮมพ์ 33.25 % 


ระยะที่ 3 ปี พ.ศ.2560-ปัจจุบัน มุ่งศึกษาวิจัยเพื่อปรับปรุงพันธุ์และพัฒนาเทคโนโลยีการเพาะปลูก ในการเพิ่มผลผลิตและคุณภาพผลผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการใช้ประโยชน์ โดยร่วมมือกับสถาบันการศึกษา หน่วยงานรัฐ และเอกชน เพื่อขยายผลและผลักดันเฮมพ์เป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ของไทยตามนโยบายรัฐบาล ทั้งด้านเส้นใย อาหาร เวชสำอาง และการแพทย์ เช่น ร่วมกับสำนักงานวิจัยและพัฒนาการทางทหาร กองทัพบก และกรมพลาธิการทหารบก วิจัยและพัฒนาเครื่องแต่งกายทหารจากเส้นใยเฮมพ์ 3 ชนิด คือ ชุดพราง เสื้อยืด และถุงเท้า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข โดยศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1 เชียงใหม่ พัฒนาชุดตรวจวัดปริมาณ THC อย่างง่าย (THC strip test) ซึ่งมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการส่งตัวอย่างตรวจในห้องปฏิบัติการ ประมาณ 15-25 เท่า รวมทั้งการถ่ายทอดและเผยแพร่ความรู้ให้กับเกษตรกร ภาครัฐ และเอกชน ผ่านการจัดฝึกอบรม สัมมนา ศึกษา ดูงาน ผลงานทางวิชาการ เอกสาร และคู่มือต่างๆ

ข้อจำกัดที่สำคัญของการสนับสนุนให้กัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศไทยคือ ข้อมูล พันธุ์ และ การเตรียมการด้านการตลาด ซึ่งกฎหมายเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และเปิดโอกาสให้ใช้ประโยชน์ได้กว้างขวางยิ่งขึ้น แต่ข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบัน เป็นผลการวิจัยที่เน้นใช้ประโยชน์จากเส้นใยเป็นหลัก จึงยังไม่สมบูรณ์มากพอสำหรับวัตถุประสงค์อื่นๆ ซึ่งความสนใจปลูกขณะนี้ส่วนใหญ่มุ่งใช้ประโยชน์จาก CBD และเมล็ด และข้อจำกัดที่สำคัญมากอีกประการหนึ่ง คือเมล็ดพันธุ์ที่ยังผลิตได้ปริมาณน้อยมากสำหรับปี พ.ศ.2564 นี้ 

เพราะมีการผลิตจำนวนน้อยเพื่อใช้ในงานวิจัย ไม่สอดคล้องกับความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างกระทันหัน ทั้งนี้จะสามารถการผลิตเมล็ดพันธุ์ให้พอเพียงได้เร็วที่สุด คือในปี พ.ศ.2565 การใช้ข้อมูลและเมล็ดพันธุ์นำเข้าจากต่างประเทศอาจจะเป็นอีกช่องทางหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามคงต้องทำอย่างรอบครอบ โดยมีการศึกษาทดลองก่อนนำมาใช้อย่างจริงจัง
#8389



นายธีระพงษ์ ลิมป์ประเสริฐ หัวหน้าสายงานจัดส่งสินค้าและบริหารค้าปลีก บริษัท เอบีพีโอ จำกัด ในเครือ บมจ.ทีวี ไดเร็ค (TVD) ผู้ดำเนินธุรกิจให้บริการจัดส่งสินค้าครบวงจร เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ที่จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ได้สร้างผลกระทบต่อระบบขนส่งพัสดุของกลุ่มเอสเอ็มอี ผู้ค้าออนไลน์ หรือลูกค้าทั่วไป ให้มีความล่าช้าลง อันเนื่องจากผู้ให้บริการจัดส่งพัสดุจำเป็นต้องชะลอการให้บริการบางสาขาลงชั่วคราว

บริษัทฯ เล็งเห็นความสำคัญของผู้ประกอบการรายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว ด้วยประสบการณ์มากกว่า 20 ปี บริษัทฯ มีการเตรียมตัวรับกับสถานการณ์ไว้ล่วงหน้าเป็นอย่างดี บริษัทฯ จึงขอเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถเดินหน้าต่อไปในวิกฤตินี้

ทั้งนี้บริษัทฯ ได้นำกลุ่มธุรกิจให้บริการจัดส่งสินค้าครบวงจร (Fulfillment Service) ร่วมช่วยเหลือการจัดส่งพัสดุของกลุ่มเอสเอ็มอี ผู้ค้าออนไลน์หรือลูกค้าทั่วไป ตั้งแต่สินค้าขนาดเล็กและขนาดใหญ่น้ำหนักไม่เกิน 30-150 กิโลกรัม โดยสามารถรองรับการขนส่งพัสดุสูงสุด 10,000 ชิ้นต่อวัน ซึ่งบริษัทฯ จะนำศูนย์กระจายสินค้าในทุกภูมิภาคของประเทศ อาทิ กรุงเทพฯ นนทบุรี เชียงใหม่ ขอนแก่น สุราษฎร์ธานี ชลบุรี และระยอง ฯลฯ ให้บริการรับ-ส่งพัสดุทั่วประเทศ ทั้งจากผู้ค้าออนไลน์ กลุ่มเอสเอ็มอี และลูกค้าทั่วไป ด้วยอัตราค่าบริการที่เป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย รวมทั้งจัดเตรียมส่วนลดพิเศษสำหรับผู้ที่ส่งพัสดุจำนวนมาก 300 ชิ้นขึ้นไปต่อวัน (ตามข้อตกลง) โดยผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่เบอร์โทร 0-2793-2022 กด 3


สำหรับประเภทการจัดส่งสินค้า บริษัทฯ เปิดให้บริการฝากส่งสินค้าทุกประเภท เช่น อาหารสำเร็จรูป กล้าพันธุ์ไม้  เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องออกกำลังกาย เป็นต้น สามารถจัดส่งในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ภายใน 2 วัน ส่วนในต่างจังหวัดใช้ระยะเวลาโดยเฉลี่ยกว่า 3 วัน และกำลังอยู่ระหว่างพัฒนาบริการส่งพัสดุด่วน 1 วัน (SAME DAY)


ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังดำเนินมาตรการด้านความปลอดภัยและสุขอนามัยลูกค้าที่เข้าใช้บริการโดยเจ้าหน้าที่จะสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาระหว่างให้บริการ ระบบการคัดกรองก่อนเข้าทำงาน และเร่งดำเนินการฉีดวัคซีนคาดว่าจะครบทุกคนในเดือนกันยายนนี้ นอกจากนี้ยังพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อบนพัสดุทุกชิ้น เพื่อลดการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19


"ธุรกิจอีคอมเมิร์ซเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเป็นช่องทางหลักที่สร้างรายได้ในสถานการณ์ที่เกิดการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ให้กับกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก ผู้ค้าออนไลน์ และลูกค้าทั่วไป ซึ่งหลังจากประกาศล็อกดาวน์และเคอร์ฟิว อัตราการซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์เติบโตเพิ่มขึ้น จากปกติอัตราขนส่งพัสดุในประเทศไทยโดยเฉลี่ย 4 ล้านชิ้นต่อวัน ดังนั้นทีวี ไดเร็คขอเป็นส่วนหนึ่งในการเชื่อมต่อโลกการช้อปปิ้งออนไลน์ให้สามารถเดินหน้าต่อไป ด้วยบริการจัดส่งพัสดุถึงมือลูกค้าได้อย่างมีคุณภาพและปลอดภัย โดยพร้อมยืนอยู่เคียงข้างและร่วมฝ่าวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน"

สำหรับภาพรวมธุรกิจอีคอมเมิร์ซของทีวี ไดเร็ค บนเว็บไซต์ หลังจากประกาศล็อกดาวน์และเคอร์ฟิวเมื่อต้นเดือนกรกฎาคม ส่งผลให้ยอดขายสินค้าในช่องทางดังกล่าวมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น โดยสัดส่วนรายได้จากลูกค้าอีคอมเมิร์ซเพิ่มจาก 10% เป็น 15% และจากการเพิ่มรายการสินค้าให้มีความหลากหลายครอบคลุมทุกความต้องการ คาดว่าภายในสิ้นปีนี้สัดส่วนรายได้จากลูกค้าอีคอมเมิร์ซจะเพิ่มเป็น 20% ส่วนรายได้อีก 80% จะมาจากลูกค้าในช่องทางทีวีโฮมช้อปปิ้งและคอลล์เซ็นเตอร์
#8390



ความไม่แน่นอนของดิน ฟ้า อากาศ ส่งผลให้เกษตรกรของไทยเสียโอกาสที่จะได้ผลผลิตแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย  รวมถึงผลตอบแทนที่ไม่คุ้มค่าจากแรงงานที่ลงทุน และยังส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมการเกษตรของไทยติดกับดักอยู่กับการทำเกษตรกรรมแบบดั้งเดิม ซึ่งการแก้ปัญหาความไม่แน่นอนหลาย ๆ ด้านที่เกษตรกรต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านฤดูกาล ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน หรือการใช้สารเคมีในภาคการเกษตรจะทำให้เกษตรกรมีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น


วันนี้ "เอ็นไอเอ" ได้จุดประกายความว้าวจาก 3 สตาร์ทอัพ ผู้พัฒนา "ดีพเทค" ด้านเกษตรกรรมที่สามารถช่วยพี่น้องเกษตรกรให้รอดพ้นจากสภาพปัญหาความไม่แน่นอน พร้อมเปิดมิติใหม่ทางนวัตกรรมที่จะช่วยให้อุตสาหกรรมหลักของประเทศก้าวไปสู่ทิศทางที่ดียิ่งขึ้น โดยเริ่มกันที่ ดร.มหิศร ว่องผาติ ประธานกรรมการ บริษัท เอชจี โรโบติกส์ จำกัด ผู้ริเริ่มโครงการระบบวิเคราะห์การเจริญเติบโตของอ้อยด้วยโดรนแบบ TAILSITTER เล่าว่า จากปัญหาผลผลิตตกต่ำของเกษตรกรชาวไร่อ้อยที่พบว่า ในแต่ละปีเกษตรกรได้ผลผลิตจากการปลูกอ้อยต่ำมาก ทำให้ผลตอบแทนที่ได้ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน ซึ่งจากการเก็บข้อมูลจากเกษตรกรชาวไร่อ้อยพบว่าปัญหาที่ส่งผลให้ผลผลิตในแต่ละปีต่ำกว่าที่ควรจะเป็น คือเกษตรกรวางแผนการตัดอ้อยในระยะเวลาที่ไม่เหมาะสมทำให้ค่าน้ำตาลในต้นอ้อยต่ำกว่าค่ามาตรฐาน

จนเกษตรกรขายอ้อยได้ในราคาที่ต่ำกว่าต้นทุน รวมไปถึงการที่เกษตรกรไม่สามารถตรวจสอบจุดที่อ้อยล้มและไม่เจริญเติบโตได้ เนื่องจากการปลูกอ้อยแต่ละครั้งจะปลูกเป็นจำนวนหลายไร่ การใช้แรงงานคนในการตรวจสอบไม่สามารถทำได้อย่างทั่วถึง ส่งผลให้แต่ละปีเกษตรกรไร่อ้อยได้รับผลผลิตไม่มากพอ ดังนั้นเพื่อแก้ปัญหาที่เกษตรกรกำลังเผชิญ ทางบริษัทจึงได้ทำระบบการวิเคราะห์การเจริญเติบโตของอ้อยด้วยอากาศยานไร้คนขับ หรือ โดรน เพื่อตรวจสอบปัญหาที่เกษตรไม่สามารถทำได้ด้วยตาเปล่า

 โดยการทำงานของระบบจะใช้การวิเคราะห์ข้อมูลจากภาพถ่ายโดยโดรน ซึ่งมีความละเอียดสูงทำให้สามารถวิเคราะห์ปัญหาที่ส่งผลให้อ้อยเจริญเติบโตได้ไม่ดีพอ รวมไปถึงตรวจหาบริเวณที่อ้อยล้มหรือไม่เจริญเติบโตเพื่อทำการปลูกทดแทน โดยปกติเกษตรกรจะไม่สามารถมองได้จากระดับสายตา เนื่องจากอ้อยที่โตแล้วจะสูงถึง 2-3 เมตร ดังนั้นการใช้ภาพถ่ายมุมสูงจากโดรนจึงสามารถแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้อย่างดี ทั้งนี้ ในปัจจุบันได้มีการทดลองใช้ระบบนี้ในพื้นที่จ.อุทัยธานี และจ.ขอนแก่น โดยมีพื้นที่ที่ใช้บริการเฉลี่ยแล้วกว่า 50,000 ไร่ และพบว่าเกษตรกรสามารถส่งอ้อยไปขายได้ราคาดีมากยิ่งขึ้น  โดยบริษัทคาดหวังว่าระบบนี้จะช่วยให้เกษตรกรรมเพาะปลูกอ้อยมีความแม่นยำ สามารถช่วยเพิ่มปริมาณของผลผลิตต่อพื้นที่ รวมไปถึงสามารถกะระยะเวลาในการตัดอ้อยได้อย่างเหมาะสม เพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรชาวไร่อ้อยในประเทศไทยได้ดีมากยิ่งขึ้น


ต่อกันที่ นางสาวรัสรินทร์ ชินโชติธีรนันท์ ประธานกรรมการบริษัท  บริษัท ลิสเซินฟิลด์ จำกัด ผู้ริเริ่มระบบบริหารจัดการการเพาะปลูกข้าวแบบรวมกลุ่มด้วยดิจิทัลเทคโนโลยีและภาพถ่ายจากดาวเทียม กล่าวว่า จุดเริ่มต้นของโครงการมาจากปัญหาของเกษตรกรที่ปลูกข้าวและมักจะได้ผลผลิตต่ำกว่าความเป็นจริง ซึ่งจากการเก็บข้อมูลทำให้เราพบว่า สภาพดินเป็นตัวแปรหลักในการสร้างผลผลิตที่มีประสิทธิภาพ ดังนั้นทางบริษัทจึงได้มีการวางแผนตรวจสอบสภาพดินผ่านระบบฟาร์ม AI ให้แก่เกษตรกรที่ทำนาข้าว โดยการเก็บตัวอย่างดินและนำมาวิเคราะห์ด้วยเทคโนโลยีเชิงลึก เพื่อหาว่าดินในที่นาแต่ละแปลงของเกษตรกรจะต้องปรุงดินอย่างไรให้เหมาะสม นอกจากการตรวจสภาพดินแล้ว ทางบริษัทได้มีการเก็บบันทึกข้อมูลพร้อมทั้งจัดทำโมเดล เพื่อทำการวิเคราะห์และพยากรณ์สภาพอากาศ ประเมินประสิทธิภาพการเจริญเติบโตแบบอัตโนมัติ วิเคราะห์ข้อมูลกรณีฝนทิ้งช่วงและปริมาณน้ำในดินจากน้ำฝน รวมไปถึงมีระบบการเตือนอัตโนมัติในพื้นที่ที่การเจริญเติบโตต่ำด้วยระบบ AI ซึ่งเทคโนโลยีที่นำมาใช้นั้นช่วยให้เกษตรมีข้อมูลมากพอสำหรับนำไปวางแผนเพราะปลูกข้าวได้อย่างเหมาะสมมากกว่าการคาดคะเนจากประสบการณ์ของตัวเกษตรกรเอง   


โดยปัจจุบันได้มีการทดลองใช้ระบบนี้กับเกษตรกรที่ปลูกข้าวในจังหวัดสุพรรณบุรี โดยมีที่นาเข้าร่วมการทดสอบประมาณ 200 ไร่ มีทั้งเกษตรกรที่ทำนาข้าวแบบดั้งเดิม และเกษตรกรที่ทำนาข้าวแบบอินทรีย์  เป้าหมายหลักในการทำโครงการครั้งนี้ทางบริษัทคาดหวังว่าจะสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการกระบวนการทำนาข้าวให้แก่เกษตรกร ตั้งแต่การเริ่มต้นปลูกข้าวไปจนถึงการหาช่องทางการจำหน่ายใหม่ ๆ ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ รวมไปถึงการลดค่าใช้จ่ายในกระบวนการเกษตรกรรมไม่ว่าจะเป็นการซื้อปุ๋ย เมล็ดพันธุ์ข้าว สารเคมี ให้ได้ประมาณ 20 % จากรายจ่ายเดิมที่เกษตรกรต้องจ่าย สำหรับช่องทางในการเข้าถึงข้อมูลนั้น ผู้เพาะปลูกสามารถเข้าถึงได้ทางแอปพลิเคชันฟาร์มเอไอ-เทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะ นอกจากนี้ระบบยังมีการเก็บและรายงานข้อมูลผ่านบน Web Dashboard สำหรับให้วิสาหกิจชุมชน กลุ่มสหกรณ์ เกษตรจังหวัดได้เข้าไปไปใช้ข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับการปลูกข้าวเพื่อนำไปวางแผนในการเพิ่มผลผลิตและมูลค่าให้แก่เกษตรกรผู้ทำนาข้าวต่อไป


ปิดท้ายกันที่บริษัทสตาร์ทอัพ ผู้ให้บริการแอปพลิเคชัน ใบไม้-รีคัลท์ แอปพลิเคชันที่จะช่วยเกษตรกรจัดการกระบวนการเพาะปลูกอย่างครบวงจร โดยนายอุกฤษ อุณหเลขกะ กรรมการผู้จัดการบริษัท รีคัลท์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ตนเองและทีมต้องการเห็นเกษตรกรไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพราะจากการหาข้อมูลก่อนที่จะเริ่มทำสตาร์ทอัพ พบว่ามูลค่าการเกษตรในประเทศไทยสูงมาก และประเทศไทยมีคนประกอบอาชีพเกษตรกรรมมากกว่า 40% ของจำนวนประชากรทั้งหมด แต่ทำไมเกษตรกรยังคงมีรายได้ต่ำกว่าอาชีพอื่น ๆ ดังนั้นตนจึงอยากยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรด้วยเทคโนโลยีเหมือนในต่างประเทศ

โดยทางบริษัทจึงเริ่มต้นเก็บข้อมูล และศึกษาปัญหาที่เกษตรกรไทยจะต้องเผชิญทุกปี ซึ่งแน่นอนว่าปัญหาสภาพอากาศเป็นตัวแปรสำคัญในการทำเกษตรกรรม รวมไปถึงช่องทางในการเข้าถึงข้อมูลด้านการเกษตรที่มีอยู่อย่างจำกัด ดังนั้นจึงได้พัฒนาแอปพลิเคชัน ใบไม้-รีคัลท์ ขึ้นมา เพื่อช่วยเกษตรกรวางแผนการเพาะปลูกตั้งแต่ต้นทาง โดยเริ่มจากการเช็คปริมาณฝนซึ่งแอปฯสามารถคำนวณได้ล่วงหน้านานกว่า 9 เดือน  การวิเคราะห์ปัญหาที่เกษตรกรจะต้องเผชิญในแต่ละช่วงฤดู ไปจนถึงกระบวนการเก็บเกี่ยวและขายสินค้าทางการเกษตร โดยเกษตรกรสามารถบริหารจัดการกระบวนการทำการเกษตรผ่านแอปพลิคชันโดยไม่มีค่าใช้จ่าย  


นายอุกฤษ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันมีเกษตรกรเข้ามาใช้บริการแอปพลิคชันมากกว่า 4 แสนราย ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรที่ทำพืชไร่ เช่น นาข้าว ไร่อ้อย มันสำปะหลัง และจากการติดตามผลพบว่าระบบสามารถช่วยเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรได้มากขึ้นกว่า 30 % นอกจากนี้ระบบยังมีการเก็บข้อมูลของเกษตรกร และเชื่อมโยงข้อมูลกับโรงงานอุตสาหกรรม หรือธนาคาร เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่จะช่วยให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้อย่างถูกกฎหมาย เกษตรกรไม่ต้องอาศัยการกู้เงินนอกระบบเพื่อมาลงทุน นอกจากนี้ ในอนาคตยังจะมีการขยายบริการด้านการเกษตรให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้นไม่ว่าจะเป็นการสั่งซื้อปุ๋ยผ่านแอปพลิเคชัน การเรียกใช้งานโดรนฉีดพ่น และช่องทางการจำหน่ายสินค้าในรูปแบบอีคอมเมิร์ซได้ด้วย
#8391



แฟนคลับทนไม่ไหวอยากรู้มากๆกับข่าวลือที่ถูกโยงมาเป็นสาว กระต่าย พรรณนิภา โดยในข่าวโยงว่าท้องกับผู้จัดการส่วนตัว งานนี้ชาวเน็ตจี้ถามมากมาย

กลายเป็นประเด็นร้อนในโลกออนไลน์ขึ้นมาทันที หลังล่าสุดมีคนขุดเรื่องราวของนักร้องสาว กระต่าย พรรณนิภา ลูกทุ่งอีสานอินดี้ชื่อดัง โดยเม้าท์ว่าซุ่มคลอดลูกเงียบๆ โดยหลายคนจับสังเกตจากรูปร่างของเธอที่อวบขึ้น ใส่เสื้อผ้าตัวใหญ่มากขึ้น ซึ่งต่อมามีการชี้เป้ามา ผู้จัดการของเธอก็คือพ่อของเด็ก และมีการขุดเรื่องแฟนเก่าของผู้จัดการมาคอมเมนต์แตกยอดมากมาย

หลังมีข่าวดังกล่าวออกมา สาวกระต่ายก็ยังไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร มีเพียงโพสต์โปรโมทเพลงก่อนหน้านี้ไปเท่านั้น งานนี้ชาวเน็ตและแฟนคลับเลยอดรนทนไม่ไหวต้องออกมาจี้ผ่านคอมเมนต์ถามสาวกระต่ายแบบรัวๆว่าเรื่องราวจริงไหม ให้ตอบด้วย ถ้าจริงจะเลิกติดตามทุกอย่าง บ้างก็มีคนยุให้ฟ้อง จากนั้นก็มีการสาดน้ำลายกันไปมาอย่างดุเดือดจนกลายเป็นดราม่ากลางไอจีสาวกระต่ายทันที นอกจากนี้ก็มีชาวเน็ตมาให้กำลังใจอีกด้วย




ขอขอบคุณภาพประกอบจากอินสตาแกรม @kratai_phannipha
#8393



สมาพันธ์กอล์ฟเอเชีย-แปซิฟิก (เอพีจีซี) ร่วมกับเดอะมาสเตอร์ส ทัวร์นาเมนต์ และเดอะอาร์แอนด์เอ ผู้จัดการแข่งขันกอล์ฟเอเชีย-แปซิฟิก อเมเจอร์ แชมเปียนชิพ (เอเอซี) ร่วมแถลงข่าวยืนยันการแข่งขันกอล์ฟเอเชีย-แปซิฟิก อเมเจอร์ แชมเปียนชิพ ครั้งที่ 12 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 3-6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2021 ที่สนามดูไบ ครีก กอล์ฟ แอนด์ ยอชต์ คลับ ในนครดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หลังจากต้องยกเลิกไปในปี 2020 เนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19

การแข่งขันกอล์ฟกอล์ฟเอเชีย-แปซิฟิก อเมเจอร์ แชมเปียนชิพ จัดขึ้นครั้งแรกในปี 2009 เพื่อเป็นเวทีพัฒนานักกอล์ฟสมัครเล่นในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก โดยแชมป์รายการนี้จะได้รับเชิญเข้าร่วมแข่งขันในระดับเมเจอร์ รายการเดอะ มาสเตอร์ส และ ดิ โอเพน ขณะที่รองแชมป์จะได้สิทธิ์ลงเล่นรอบคัดเลือกรอบสุดท้ายลุ้นตั๋วลุยศึก ดิ โอเพน โดยในปี 2020 การแข่งขันถูกยกเลิกเนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา หรือ โควิด -19 ล่าสุดฝ่ายจัดการแข่งขันเผยกำหนดการแข่งขันในปี 2021 จะกลับมาดวลวงสวิงระหว่างวันที่ 3-6 พฤศจิกายนนี้ ณ สนามดูไบ ครีก กอล์ฟ แอนด์ ยอชต์ คลับ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในการเป็นเจ้าภาพจัดแข่งขันกอล์ฟรายการนี้ โดยสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นหนึ่งใน 42 ประเทศสมาชิกของสหพันธ์กอล์ฟเอเชีย-แปซิฟิก และนครดูไบก็เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกอล์ฟระดับอาชีพและระดับสมัครเล่นทุกปี รวมถึงการแข่งขันรายการ ดูไบ เดเสิร์ต คลาสสิค ของยูโรเปียนทัวร์ และรายการดีพี เวิลด์ทัวร์ แชมเปียนชิพ

ไทมูร์ ฮัสซัน อามิน ประธานสหพันธ์กอล์ฟเอเชีย-แปซิฟิก เฟร็ด ริดลีย์ ประธานมาสเตอร์ส ทัวร์นาเมนต์ และ มาร์ติน สลัมเบอร์ส ประธานบริหารของอาร์แอนด์เอ กล่าวร่วมกันถึงการจัดการแข่งขันกอล์ฟ เอเชีย-แปซิฟิก อเมเจอร์ แชมเปียนชิพ 2021 ว่า "การสร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์เมเจอร์รายการ เดอะ มาสเตอร์ส ในปีนี้ของฮิเดกิ มัตสึยามา ซึ่งเป็นเจ้าของแชมป์เอเชีย-แปซิฟิก อเมเจอร์ แชมเปียนชิพ 2 สมัย เป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของการแข่งขันรายการนี้ในฐานะที่เวทีสำหรับการพัฒนากีฬากอล์ฟและความสามารถของนักกอล์ฟสมัครเล่นในภูมิภาค เราขอขอบคุณเป็นอย่างสูงสำหรับสมาพันธ์ฟอล์ฟเอมิเรตส์ และดูไบ ครีก กอล์ฟ แอนด์ ยอชต์ คลับ ที่ให้การสนับสนุนจัดการแข่งขันในปีนี้ และเรามุ่งมั่นที่จะทำงานอย่างใกล้ชิดกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดการแข่งขันในปีนี้ได้อย่างปลอดภัยตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เพื่อมอบโอกาสที่จะเปลี่ยนชีวิตให้กับนักกอล์ฟสมัครเล่น ที่สมควรได้รับโอกาสเหล่านี้ ขณะที่สนามดูไบครีกจะช่วยยกระดับมาตรฐานสนามที่เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันรายการนี้ และเราก็เฝ้ารอที่จะได้เห็นการประชันฝีมือของนักกอล์ฟมือสมัครเล่นระดับแถวหน้าของเอเชีย-แปซิฟิกในเดือนพฤศจิกายนนี้"

สำหรับสนามดูไบ ครีก เปิดบริการในปี 1993 เป็นสนาม 18 หลุม พาร์ 71 ซึ่งเริ่มแรกออกแบบโดยคาร์ล ลิตเท่น ก่อนจะมีการออกแบบใหม่ในปี 2004 นำทีมออกแบบโดย โธมัส บียอร์น สนามแห่งนี้เคยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันรายการดูไบ เดเสิร์ต คลาสสิค ในปี 1999 และ 2000 และรายการ ดูไบ ครีก โอเพ่น ซึ่งเรย์ฮัน โธมัส รองแชมป์เอเชีย-แปซิฟิก อเมเจอร์ แชมเปียนชิพ ปี 2018 โชว์ฟอร์มทำสถิติสนามในปี 2017 เมื่อเร็วๆนี้ สนามดูไบ ครีก เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ดูไบ แชมเปียนชิพ รายการในเวิลด์ อเมเจอร์ ทัวร์ เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา

ด้าน ชีค ฟาฮิม บิน สุลต่าน อัล กอซิมี ประธานสมาพันธ์กอล์ฟเอมิเรตส์ กล่าวว่า "หลังจากได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันกอล์ฟ เอเชีย-แปซิฟิก อเมเจอร์ แชมเปียนชิพ มาหลายปีในฐานะสมาชิกของสมาพันธ์กอล์ฟ เอเชีย-แปซิฟิก เรารู้สึกตื่นเต้นยินดีมากที่จะได้ต้อนรับการแข่งขันอันทรงเกียรตินี้สู่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นครั้งแรก การแข่งขันรายการนี้มีความหมายอย่างมากกับบรรดานักกอล์ฟมือสมัครเล่นในเอเชีย-แปซิฟิก เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ร่วมสนับสนุนสมาพันธ์กอล์ฟเอเชีย-แปซฟิก, มาสเตอร์ส ทัวร์นาเมนต์ และอาร์แอนด์เอ ในความพยายามจัดการแข่งขันที่ปลอดภัยและประสบความสำเร็จร่วมกันในการสร้างเวทีเพื่อพัฒนาและส่งเสริมเกมกีฬากอล์ฟ"

คริสโตเฟอร์ เมย์ ประธานประธานกรรมการบริหารของดูไบกอล์ฟ กล่าวว่า "การแข่งขันกอล์ฟเอเชีย-แปซิฟิก อเมเจอร์ แชมเปียนชิพ เป็นการรวมตัวกันของเหล่านักกอล์ฟมือสมัครเล่นระดับแนวหน้าจากทั่วภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกและทั่วโลก เราภูมิใจที่ได้รับความไว้วางใจจากพันธมิตรผู้ก่อตั้งทัวร์นาเมนต์ เลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันในปีนี้ ซึ่งเรามั่นใจว่าการแข่งขันเอเชีย-แปซิฟิก อเมเจอร์ แชมเปียนชิพ ปีนี้ จะเป็นบททดสอบที่ท้าทายและสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักกอล์ฟที่เข้าร่วมชิงชัย และเรากำลังเฝ้ารอที่จะได้เป็นเวทีแห่งการประชันฝีมือของบรรดานักกอล์ฟมือสมัครเล่นระดับแนวหน้าจากทั่วโลกและมีส่วนร่วมในการพัฒนาเกมกีฬากอล์ฟ"

ทั้งนี้ตลอดระยะเวลา 12 ปีของการแข่งขันกอล์ฟเอเชีย-แปซิฟิก อเมเจอร์ แชมเปียนชิพ การแข่งขันรายการนี้คือบันไดก้าวแรกสู่การเป็นผู้เล่นชั้นนำของโลกของนักกอล์ฟหลายคน รวมถึง มัตสึยามา ซึ่งคว้าแชมป์เอเชีย-แปซิฟิก อเมเจอร์ แชมเปียนชิพ 2 ครั้ง และมาสร้างประวัติศาสตร์เป็นนักกอล์ฟญี่ปุ่นคนแรกที่ได้แชมป์เมเจอร์หลังชนะเลิศรายการมาสเตอร์ส ในปี 2021

ทางด้าน หลิน ยู่ซิน นักกอล์ฟมือสมัครเล่นจากจีน ดีกรีแชมป์ปี 2017 และ 2019 หวังสร้างสถิติเป็นนักกอล์ฟคนแรกที่คว้าแชมป์รายการนี้ 3 สมัย หลังจากเมื่อเร็วๆนี้ ทำผลงานผ่านการตัดตัวในรายการเมเจอร์ ดิ โอเพ่น ครั้งที่ 149 ที่สนามรอยัล เซนต์ จอร์จส

นักกอล์ฟถนัดซ้ายมือสมัครเล่นอันดับ 16 ของโลก กล่าวกว่า "การแข่งขันกอล์ฟเอเชีย-แปซิฟิก อเมเจอร์ แชมเปียนชิพเป็นทัวร์นาเมนต์ที่วิเศษมากที่ทำให้ผมมีโอกาสได้ลงเล่นรายการเมเจอร์ทั้งในมาสเตอร์ส และดิ โอเพน ซึ่งผมรู้สึกซาบซึ้งใจและขอบคุณรายการนี้อย่างมาก"
#8394
ขายดาวน์  215,800 ( กค 2564 ) ห้อง 812
#8395
สนใจติดต่อคุณเป้ง 087-347-6299
https://gladnessaccounting.co.th

สำนักงานบัญชีนนทบุรี  สำนักงานบัญชีบางกรวย  สำนักงานบัญชีบางใหญ่  สำนักงานบัญชีบางบัวทอง  สำนักงานบัญชีไทรน้อย  สำนักงานบัญชีปากเกร็ด  สำนักงานบัญชีบางศรีเมือง  สำนักงานบัญชีพิมลราช  สำนักงานบัญชีบางคูรัด  สำนักงานบัญชีบางรักพัฒนา  สำนักงานบัญชีบางแม่นาง  สำนักงานบัญชีบางกร่าง  สำนักงานบัญชีไทรม้า  สำนักงานบัญชีตลาดขวัญ  สำนักงานบัญชีบางตะไนย์  สำนักงานบัญชีบางพลับ  สำนักงานบัญชีบางรักน้อย  สำนักงานบัญชีมหาสวัสดิ์  สำนักงานบัญชีศาลากลางนนทบุรี  สำนักงานบัญชีอ้อมเกร็ด  สำนักงานบัญชีแจ้งวัฒนะ  สำนักงานบัญชีถนนกาญจนาภิเษกนนทบุรี  สำนักงานบัญชีถนนจงถนอม-ไทรน้อย  สำนักงานบัญชีถนนชัยพฤกษ์  สำนักงานบัญชีถนนติวานนท์  สำนักงานบัญชีถนนทวีวัฒนา  สำนักงานบัญชีถนนเทศบาลจังหวัดนนทบุรี  สำนักงานบัญชีถนนเทิดพระเกียรติ  สำนักงานบัญชีท่าอิฐ  สำนักงานบัญชีถนนนครอินทร์  สำนักงานบัญชีบางม่วง  สำนักงานบัญชีบางกรวย-จงถนอม  สำนักงานบัญชีถนนบางไกรใน  สำนักงานบัญชีบางกรวย-ไทรน้อย  สำนักงานบัญชีบางคูเวียง  สำนักงานบัญชีบางศรีเมือง  สำนักงานบัญชีถนนวัดโบสถ์ดอนพรหม  สำนักงานบัญชีไทรม้า  สำนักงานบัญชีถนนพิบูลสงคราม  สำนักงานบัญชีถนนราชพฤกษ์  สำนักงานบัญชีตลิ่งชัน  สำนักงานบัญชีถนนเรวดี  สำนักงานบัญชีถนนเลี่ยงเมืองนนทบุรี  สำนักงานบัญชีถนนศรีสมาน
#8396



"เราต้องการผลักดันให้คนในชุมชน เห็นคุณค่าของการอนุรักษ์ป่า ผ่านการทำโครงการที่ทำให้มีรายได้ จากการสร้างอาชีพ การท่องเที่ยว  เพื่อเป็นตัวจุดประกายว่า ทำไมเราต้องอนุรักษ์ป่า ทำไปแล้วได้อะไร"

เสียงสะท้อนจากชาวบ้านต.บางหญ้าแพรก จ.สมุทรสาคร  "ชัชวาล ชาวสมุทร "อายุ 55 ปีหรือ น้าหนุ่ย  อาชีพต่อเรือประมงจำลองขาย และมีส่วนร่วมอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชายเลนในพื้นที่ มาตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการแก้ปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่ง ปลูกต้นไม้ไม่ขึ้น จนถึงปัจจุบันที่มีป่าชายเลน ทั้งต้นแสมขาว ต้นแสมทะเล เขียวเต็มแนวชายฝั่ง

น้าหนุ่ย  หนึ่งในคณะกรรมการอนุรักษ์ป่าชายเลน ในโครงการ "ซีพีเอฟ ปลูก ปัน ป้อง ป่าชายเลน" เป็นตัวแทนของชุมชนในพื้นที่ ที่ทำงานอนุรักษ์และฟื้นฟูป่า ร่วมกับ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ และภาครัฐ คือ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ซึ่งในระยะที่หนึ่งของโครงการ (ปี 2557 -2561) อนุรักษ์ป่าไปแล้ว 500 ไร่ และปลูกใหม่ 104 ไร่ และในระยะที่สอง(2562-2566) บริษัท ชุมชน และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จะร่วมกันอนุรักษ์ป่า 14,000 ไร่ และปลูกป่าเพิ่มเติมอีก 266 ไร่

ซีพีเอฟสานต่อความยั่งยืนของโครงการฯ สนับสนุนตั้งกองทุนอนุรักษ์ป่าชายเลนที่บริหารโดยคณะกรรมการของชุมชนเอง  พัฒนาพื้นที่เป็นแหล่งท่องเที่ยววิถีชุมชนต.บางหญ้าแพรก และส่งเสริมการใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ของชุมชนจำหน่ายให้แก่นักท่องเที่ยว เพื่อให้ชุมชนพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน และมีรายได้เติมกองทุนฯเพื่อดูแลป่า

น้าหนุ่ย บอกว่า เกลือสปาขัดผิว เกลือหอมอโรม่า มีทั้งกลิ่นดอกโมก กลิ่นมะลิ  สบู่เกลือบาธบอมบ์ ถ่านไบโอชาร์ดูดกลิ่น  เป็นสินค้าที่ชุมชนช่วยกันคิด ปรับปรุงคุณภาพและรูปแบบให้ดูน่าใช้  หรือแม้แต่เรือประมงจำลอง อาชีพที่ต้องใช้ประสบการณ์และฝีมือ เป็นส่วนเติมเต็ม อัตลักษณ์ของชุมชนบางหญ้าแพรก ซึ่งสามารถดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยวได้อยู่แล้ว

ด้วยวิถีอาชีพดั้งเดิมของชาวบางหญ้าแพรก  คือ  ทำประมงพื้นบ้าน ทำนาเกลือ ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ จึงมาจากแนวคิดใช้วัสดุธรรมชาติในท้องถิ่น เช่น เกลือ มาผลิตเป็นสินค้าชนิดต่างๆ  เกลือสปาสมุนไพรผลิตจากดอกเกลือแท้ ผสมสมุนไพร 5 ชนิด คือ ขมิ้นชัน ขมิ้นอ้อย ไพล ว่านนางคำ ทานาคา ใช้ขัดผิว   ถ่านไบโอชาร์ สินค้าขึ้นชื่อของท้องถิ่น ทำจากเปลือกผลไม้ กิ่งไม้ ลูกไม้ต่างๆ ผ่านกระบวนการเผาด้วยกรรมวิธีที่แตกต่างจากถ่านหุงข้าว ทำให้เกิดประจุไฟฟ้าที่มีคุณสมบัติดูดซับกลิ่นได้ดี

แต่วันนี้ ... โควิด -19 ทำให้รายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชนเป็นศูนย์   ป้าปราณี หอมทอง อายุ 71 ปี มีอาชีพทำนาเกลือ แต่ตอนนี้เข้าฤดูฝน ป้าต้องหยุดทำนาเกลือตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ไปจนถึงตุลาคม

ป้าณี บอกว่า  ตอนที่ไม่มีโควิด-19  ซีพีเอฟช่วยจัดกรุ๊ปนักท่องเที่ยวมาเที่ยวชมฐานการเรียนรู้ต่างๆของชุมชนบางหญ้าแพรก ทั้งทำสปาเกลือ ต่อเรือประมง ทำถ่านไบโอชาร์ ชาวบ้านก็มีรายได้จากสาธิตวิธีการให้นักท่องเที่ยวชม  ป้าณีเป็นอีกคนหนึ่งที่ร่วมกิจกรรมฟื้นฟูป่าชายเลนในพื้นที่มาเกือบทุกกิจกรรม จนต่อยอดมาสู่การเป็นเส้นทางท่องเที่ยววิถีชุมชนตำบลบางหญ้าแพรก ป้าณีก็มีส่วนร่วมดูแลฐานสาธิตสปาผิวด้วยเกลือสปา แต่ตอนนี้มีโควิด นักท่องเที่ยวเข้ามาไม่ได้เลย รายได้จากที่เคยได้หรือขายผลิตภัณฑ์เป็นศูููนย์ ตัวป้าเองเป็นอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ด้วย  ยังพอมีรายได้จากการเป็นอสม. ส่งข้าวให้ผู้ที่ถูกกักตัวอยู่ที่บ้าน อยากให้สถานการณ์กลับมาปกติเร็วๆ จะได้มีรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ได้เหมือนเดิม

ขณะที่ลุงวิรัตน์ ใช้ภูมิปัญญาชาวบ้าน ทำถ่านไบโอชาร์  ลุงเคยมีรายได้เสริมจากการขายถ่านให้ชุมชนนำไปผลิตเป็นถุงสวยงามเพื่อบรรจุถ่านดูดกลิ่น ใช้แขวนในตู้เสื้อผ้า ตู้รองเท้า ตู้เย็น  วันนี้ลุงต้องหยุดเผาถ่านเช่นกัน เพราะไม่มีชาวบ้านมาซื้อถ่านไปทำผลิตภัณฑ์  ถึงจะไม่ได้กระทบรายได้ของลุง เพราะมีอาชีพเลี้ยงกุ้งเป็นหลัก แต่ลุงบอกว่าโควิด-19 ทำให้กิจกรรมต่างๆของชุมชนหยุดลง

ในสถานการณ์ที่โควิด-19 ทำให้กิจกรรมต่างๆต้องหยุดลง รวมทั้งชุมชนบางหญ้าแพรกแห่งนี้ที่ได้รับผลกระทบ แต่ทั้งลุงหนุ่ย ป้าณี ลุงวิรัตน์  และชาวชุมชน ยืนยันว่า พร้อมเดินหน้าดูแลป่าชายเลนในพื้นที่ต่อไปเพราะนี่คือทรัพยากรธรรมชาติที่มีคุณค่าที่ต้องรักษาไว้เพื่อส่งต่อให้กับรุ่นลูกหลาน เช่นเดียวกับ กองทุนอนุรักษ์ป่าชายเลน เป็นความตั้งใจของชาวบ้านที่จะนำเงินกองทุนฯส่วนหนึ่งใช้ดูแลรักษาป่า และอีกส่วนหนึ่งจะต่อยอดสร้างอาชีพให้กับคนในชุมชนอีกหลายๆคน ช่วยอุดหนุนผลิตภัณฑ์ของชุมชน เพื่อเป็นกำลังใจและสร้างความเข้มแข็งให้ชาวชุมชนที่จะช่วยดูแลป่าชายเลนต่อไป ผู้สนใจสามารถติดต่อ ตัวแทนชาวชุมชนบางหญ้าแพรก คุณเมธา พุฒคง
095 -524 9245 
#8397



รายงานวิจัยล่าสุดของธนาคารโลกคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของเมียนมาจะหดตัวประมาณ 18% ในปีนี้เพราะผลพวงของปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองอันเนื่องมาจากการทำรัฐประหารยึดอำนาจของกองทัพเมียนมาเมื่อวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา และการที่จำนวนผู้ป่วยโรคโควิด-19รายใหม่ในระลอกที่3ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ตัวเลขประมาณการทางเศรษฐกิจที่บรรจุในรายงาน"สังเกตุการณ์เศรษฐกิจเมียนมา"และถูกนำออกเผยแพร่วานนี้(26ก.ค.)ร่วงลงเกือบ2เท่าเหลือ 10% ในเดือนมี.ค.และบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจเมียนมาจะแย่ลงยิ่งกว่านี้ในอีกสองสามเดือนข้างหน้า

ส่วนการคาดการณ์จากที่อื่นๆ ที่รวมถึงการคาดการณ์ในเดือนมิ.ย.โดยฟิทช์ โซลูชันส์ หน่วยงานในเครือกลุ่มบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำของโลก ประเมินว่าเศรษฐกิจของเมียนมาจะหดตัว 20% หรือมากกว่านั้นในปีงบประมาณนับจนถึงวันที่ 30 ก.ย.โดยอ้างถึงภาวะช็อคทางเศรษฐกิจเมื่อไม่นานมานี้

ธนาคารโลก ยอมรับว่าการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19สร้างผลกระทบเพิ่มเติมอย่างมีนัยสำคัญแก่เศรษฐกิจของเมียนมาทั้งยังคุกคามชีวิตและการทำมาหากินที่อาจจะกินเวลาไปจนถึงปี 2565

ทางการเมียนมารายงานว่า นับจนถึงวันที่ 24 ก.ค.ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศมีจำนวนเกือบ 260,000 ราย และยอดผู้เสียชีวิต 6,460 ราย ส่วนยอดผู้ติดเชื้อรายวันเฉลี่ยวันละประมาณ 6,000 ราย แม้ว่านี่อาจเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าความเป็นจริง เนื่องจากข้อจำกัดในการตรวจหาเชื้อและการหลั่งไหลของข้อมูล

อย่างไรก็ตาม รายงานวิจัยเศรษฐกิจของธนาคารโลกฉบับนี้มีมุมมองเกี่ยวกับเศรษฐกิจเมียนมาแย่ลง เพราะเมื่อวันที่ 26 มี.ค.ธนาคารโลก ได้ออกรายงานคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจเมียนมาจะหดตัวลง 10% ในปีนี้ โดยได้รับผลกระทบจากการชุมนุมประท้วงทั่วประเทศ, การผละงาน และการที่เมียนมาถูกนานาประเทศคว่ำบาตร หลังจากกองทัพเมียนมาได้ก่อรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลเมื่อวันที่ 1 ก.พ. ซึ่งตัวเลขคาดการณ์นี้ สวนทางกับที่ธนาคารโลกคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่า เศรษฐกิจเมียนมาจะขยายตัว 5.9% ในปีนี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวเลขคาดการณ์แข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคเอเชีย

ธนาคารโลก ระบุว่า เมียนมาได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากเหตุการณ์ประท้วง, การผละงาน และการใช้มาตรการทางทหาร ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้การเคลื่อนไหวสัญจรภายในประเทศลดน้อยลง และทำให้การบริการในด้านต่างๆ ต้องหยุดชะงัก ซึ่งรวมถึงการบริการในภาคธนาคาร, โลจิสติกส์ และอินเทอร์เน็ต

รายงานของธนาคารโลกยังระบุด้วยว่า กลุ่มผู้ประท้วงในเมียนมาพุ่งเป้าโจมตีไปที่เศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงอารยะขัดขืนเพื่อต่อต้านการก่อรัฐประหารของกองทัพเมียนมา ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวได้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อระบบธนาคารของเมียนมา และยังทำให้นักลงทุนต่างชาติถอนการลงทุนออกจากประเทศไปจนกว่าจะมีการจัดตั้งรัฐบาลตามระบอบประชาธิปไตย

นอกจากนี้ การที่รัฐบาลทหารเมียนมาชัตดาวน์ระบบอินเทอร์เน็ตเพื่อสกัดการประท้วงไม่ให้ลุกลามนั้น ยังเป็นอีกปัจจัยที่สร้างความเสียหายต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจของเมียนมาด้วย

"ขณะที่การตรวจหาเชื้อโควิด-19ในเมียนมายังเป็นไปอย่างจำกัด จำนวนผู้มีผลตรวจเป็นบวกก็สูงมาก บ่อยครั้งพบว่ามีอัตรามากกว่า 33% บ่งชี้ว่ามีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19ในวงกว้างบวกกับผลกระทบจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และพฤติกรรมเฝ้าระวังของผู้คนทำให้ความท้าทายทางด้านเศรษฐกิจของเมียนมาเพิ่มขึ้น" รายงานของธนาคารโลก ระบุ

"คิม อลัน เอ็ดวาร์ดส์" นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสประจำเมียนมาของธนาคารโลก เตือนว่า เศรษฐกิจของเมียนมาจะหดตัวมากกว่านี้ในช่วงปลายปีนี้เพราะการระบาดของโรคโควิด-19

"ขณะที่มีสัญญาณเบื้องต้นที่บ่งชี้ถึงความมีเสถียรภาพในบางส่วนในช่วงเดือนพ.ค.และมิ.ย.ที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นและปัญหาการดิสรัปด้านโลจิสติกก็บรรเทาลง แต่หากมองภาพรวมกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ยังถือว่าอ่อนแออยู่มาก และมีแนวโน้มว่าเศรษฐกิจเมียนมาจะหดตัวตั้งแต่เดือนก.ค.เป็นต้นไป "นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสประจำเมียนมาของธนาคารโลก กล่าว


ธนาคารโลกคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อของเมียนมาจะอยู่ที่ 6% ในปี 2564 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 5.8% ในปี 2563 และมีแนวโน้มว่าอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์หลายคนเตือนว่า อัตราเงินเฟ้อในเมียนมาอาจเพิ่มขึ้นเป็นตัวเลขสองหลักในไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ หลังจากเมื่อไม่นานมานี้ มีสัญญาณบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นเมื่อทางการพิมพ์ธนบัตรใหม่ๆออกมาสู่ระบบบเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ รายงานของธนาคารโลกยังอ้างถึงราคาเชื้อเพลิงในเมียนมาที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วโดยเพิ่มขึ้น 50% นับตั้งแต่ปลายเดือนม.ค.การที่เงินจัตอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว โดยอ่อนค่าลงไปประมาณ 23% เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐตั้งแต่วันที่ 1ก.พ.-กลางเดือนก.ค. ประกอบกับภาวะขาดแคลนอาหารในช่วงที่คนทั้งประเทศวิตกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัย โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีปัญหาความขัดแย้ง

ขณะที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยิ่งซ้ำเติมปัญหาต่างๆที่มีอยู่แล้วให้ย่ำแย่ลงไปอีก จนส่งผลให้ความต้องการบริโภคในประเทศลดลงเพราะคนตกงานจากมาตรการล็อกดาวน์และตัวแปรอื่นๆที่จะหนุนอัตราเงินเฟ้อในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โดยเฉพาะการที่ราคาสินค้าประเภทอาหารปรับตัวเพิ่มขึ้น
#8399




อาเซียนนัดประชุมต้น ส.ค.นี้ ติดตามแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจจากโควิด-19 พร้อมเดินหน้าเพิ่มบัญชีสินค้าจำเป็นที่ห้ามจำกัดส่งออก นอกเหนือจากยา และเวชภัณฑ์ ลุยเศรษฐกิจหมุนเวียน สร้างสภาพแวดล้อมด้านดิจิทัล และนัดคู่เจรจา 13 ประเทศ หารือเพิ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ติดตามผลอัปเกรดเอฟทีเอ การทำเอฟทีเอกับแคนาดา

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า อาเซียนได้กำหนดจัดประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านเศรษฐกิจอาเซียน หรือ SEOM ครั้งที่ 3/52 ในวันที่ 2-4 ส.ค. 2564 และการประชุมกับประเทศนอกภูมิภาค 13 ประเทศ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฮ่องกง สหรัฐฯ แคนาดา อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ รัสเซีย สหภาพยุโรป สหราชอาณาจักร และสวิตเซอร์แลนด์ ในวันที่ 5, 11 และ 16 ส.ค. 2564 ผ่านระบบประชุมทางไกล เพื่อเตรียมการสำหรับการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEM ครั้งที่ 53 ในเดือน ก.ย. 2564

ทั้งนี้ การประชุม SEOM จะมีการติดตามการดำเนินงานสำคัญของอาเซียน โดยเฉพาะการเร่งฟื้นเศรษฐกิจภูมิภาคจากการระบาดของโควิด-19 การอำนวยความสะดวกทางการค้าเพื่อรักษาและส่งเสริมความเชื่อมโยงของห่วงโซ่อุปทาน โดยพิจารณาขยายบัญชีสินค้าจำเป็นที่อาเซียนจะไม่จำกัดการส่งออกในช่วงโควิดเพิ่มเติมจากยา และเวชภัณฑ์ เช่น อาหาร รวมถึงการเพิ่มบทบาทอาเซียนเชิงรุกในการพัฒนาภูมิภาคให้ตอบรับกับแนวโน้มของโลก ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมความพร้อมด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) การพัฒนาสภาพแวดล้อมเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาค เพื่อมุ่งไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาว เป็นต้น

นอกจากนี้ ที่ประชุมจะติดตามเร่งรัดการดำเนินงานตามแผนงานด้านเศรษฐกิจที่บรูไนฯ ในฐานะประธานอาเซียนผลักดันให้อาเซียนดำเนินการให้สำเร็จในปี 2564 ภายใต้แนวคิด "We care, we prepare, we prosper" ภายใต้ยุทธศาสตร์ 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการฟื้นฟู ด้านการเป็นดิจิทัล และด้านความยั่งยืน รวม 13 ประเด็น เช่น การจัดทำเครื่องมือในการประเมินมาตรการที่มิใช่ภาษี (NTMs) ของประเทศสมาชิกอาเซียน การจัดทำแผนฟื้นฟูการท่องเที่ยวหลังการระบาดใหญ่ของโควิด-19 และการจัดทำกรอบเศรษฐกิจหมุนเวียนสำหรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เป็นต้น

สำหรับการประชุมอาเซียนกับประเทศนอกภูมิภาค 13 ประเทศ จะเน้นการหารือเพื่อเพิ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างกัน และมีประเด็นที่ต้องติดตาม เช่น การทบทวนความตกลงการค้าสินค้าภายใต้กรอบความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย การเปิดเสรีสินค้าเพิ่มเติมภายใต้พิธีสารยกระดับความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน และการเตรียมการเสนอรัฐมนตรีเศรษฐกิจพิจารณาความเป็นไปได้การเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-แคนาดา เป็นต้น

ทางด้านการค้าระหว่างไทยกับอาเซียนในปี 2563 มีมูลค่า 94,623.83 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นการส่งออกจากไทยไปอาเซียน 55,454.28 ล้านเหรียญสหรัฐ และนำเข้าจากอาเซียน 39,169.54 ล้านเหรียญสหรัฐ เกินดุลการค้า 16,284.74 ล้านเหรียญสหรัฐ และในช่วง 5 เดือนปี 2564 (ม.ค.-พ.ค.) การค้าระหว่างไทยกับอาเซียน มีมูลค่า 45,267.41 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 10.44% โดยไทยส่งออกไปอาเซียน 26,224.69 ล้านเหรียญสหรัฐ และนำเข้าจากอาเซียน 19,042.71 ล้านเหรียญสหรัฐ ตลาดส่งออกและแหล่งนำเข้าสำคัญของไทยในอาเซียน ได้แก่ มาเลเซีย เวียดนาม อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์
#8400



เมื่อวันที่ 27 ก.ค. พ.อ.กฤษภาณุ จํานงค์วงศ์ รองผอ.กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดสมุทรปราการ เปิดเผยว่า เมื่อช่วงกลางดึกที่ผ่านมา  ได้รับแจ้งว่ามีหญิงสาวที่ติดเชื้อโควิด 19 ถูกสามีทำร้ายร่างกายและไล่ออกจากบ้าน จนต้องหอบเสื้อผ้าออกมานั่งอยู่ริมถนนสุขุมวิทใกล้ทางขึ้นสถานีรถไฟฟ้าบางปิ้ง ต.ปากน้ำ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ หลังรับแจ้งจึงพร้อมด้วยชุดเฉพาะกิจต่อต้านโควิด เทศบาลนครสมุทรปราการ เดินทางเข้าตรวจสอบ 

ในที่เกิดเหตุได้พบหญิงสาวอายุประมาณ 20 ปี เศษนั่งอยู่บนฟุตปาธโดยมีกระเป๋าเสื้อผ้าวางอยู่ข้างตัวทราบชื่อภายในหลังชื่อ น.ส.จันทรา ภักดิ์ชัยภูมิ อายุ 24 ปี นั่งร้องไห้อยู่บนฟุตปาธริมถนน เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการตรวจสอบประวัติการตรวจหาเชื้อโควิดในระบบของจังหวัดสมุทรปราการ พบว่า น.ส.จันทรา ได้เข้าตรวจหาเชื้อโควิดที่โรงพยาบาลสมุทรปราการ เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม ที่ผ่านมา และผลตรวจยืนยันออกมาเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม ว่าติดเชื้อโควิด 19 


ด้านนางนุชราพร สยาม อายุ 50 ปี แม่ของหญิงสาวคนดังกล่าว ได้เล่าว่า ลูกสาวตนได้แยกไปอยู่กับแฟนที่บ้านซึ่งอยู่ภายในซอยวัดในสองวิหารห่างจากบ้านตนประมาณ 1 กิโลเมตร หลังจากที่มีการแพร่ระบาดของโควิดอย่างหนักในพื้นที่ตำบลปากน้ำ ลูกสาวตนจึงได้วอล์กอินเข้าไปตรวจหาเชื้อโควิด 19 ที่โรงพยาบาลสมุทรปราการ เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม ที่ผ่านมาและและผลการตรวจออกมาเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม พบว่าติดเชื้อโควิด ลูกสาวจึงกักตัวอยู่ที่บ้านแฟนระยะเวลาที่ผ่านมาก็ไม่มีอาการอะไร จนกระทั่งเมื่อวาน(25ก.ค.)ลูกสาวได้โทรมาบอกว่าอาเจียนและก็ท้องเสีย และมีอาการเจ็บหน้าอก ตนจึงโทรไปบอกหมอ แต่พอหมอเข้าไป คนที่บ้านโน้นเขาก็ไล่หมอ ไม่ให้เข้าไป ก่อนจะทำร้ายร่างกายลูกสาวตนพร้อมทั้งไล่ลูกสาวตนออกจากบ้าน

จนลูกสาวตนต้องหอบเสื้อผ้าเดินหอบร่างกายอันบอบช้ำ ออกจากบ้านแฟนมานั่งร้องไห้อยู่ที่บนฟุตปาธริมถนน ไม่กล้าเข้าไปที่บ้านตนเพราะเกรงว่าจะนำเชื้อโควิดมาติดคนในบ้าน ก่อนที่จะโทรศัพท์มาบอกตนเพื่อขอความช่วยเหลือ จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ทหาร กอ.รมน.และเจ้าหน้าที่กู้ชีพของเทศบาลนครเข้ามาให้การช่วยเหลือ

 


ด้านพ.อ.กฤษภาณุ กล่าวว่า หลังจากที่เข้าตรวจสอบแล้ว พบว่าหญิงสาวคนดังกล่าวเป็นผู้ป่วยติดเชื้อโควิด 19 ที่แสดงอาการแล้ว หากปล่อยไว้ก็อาจจะมีอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้  ประกอบกับในจุดที่หญิงสาวคนดังกล่าวมานั่งอยู่ใกล้กับชุมชน ซึ่งมีชาวบ้านพักอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก เกรงว่าจะเป็นการแพร่เชื้อโควิดได้ จึงได้ประสานไปทางผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมุทรปราการ เพื่อขอนำตัวหญิงสาวรายนี้เข้าไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลสนามที่ 5 ซึ่งตั้งอยู่ในโครงการของ WHA คลองส่งน้ำสุวรรณภูมิ ต.บางปลา อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ โดยมีเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจต่อต้านโควิด เทศบาลนครสมุทรปราการ เป็นผู้นำส่งพร้อมทั้งทำการฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อในจุดที่หญิงสาวคนดังกล่าวนั่งและสัมผัสเพื่อความปลอดภัยของชาวบ้าน