• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - fairya

#3801


นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ยังคงมีการแพร่ระบาดสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การขับเคลื่อนธุรกิจเวลานี้ ดีเวลลอปเปอร์ต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้น สิ่งสำคัญที่สุดในห้วงเวลานี้คือการรักษาสภาพคล่อง เพราะหากขาดสภาพคล่อง นั่นหมายถึง หนี้เสีย หรือ NPL (Non-performing Loan) ทันทีเมื่อไม่มีเงินจ่ายดอกเบี้ย เท่ากับเป็นการทำลายอนาคตของดีเวลลอปเปอร์นั้นๆ ฉะนั้นควรเตรียม "กระสุน" หรือสภาพคล่องให้เพียงพอ รองรับสถานการณ์แพร่ระบาดของไวัสโควิด และมาตรการล็อกดาวน์ที่อาจยืดเยื้อ

ขณะที่ การพัฒนาโครงการแต่ละโครงการจะต้องไปได้ด้วยตนเอง หากเปิดตัวโครงการแล้ว "ขายไม่ได้" จะกลายเป็นตัวฉุดรั้งโครงการอื่นทำให้การบริหารจัดการมีปัญหาตามมา ดังนั้น หากไม่มั่นใจว่าสามารถขายได้จริง อย่ารีบร้อนเปิดตัวโครงการใหม่

พร้อมกันนี้ ต้องเตรียมตัวหาเงินลงทุนใหม่ด้วยการออกหุ้นกู้ใหม่ จากก่อนหน้านี้ออกตราสารหนี้ และทยอยคืนแล้ว จึงต้องหาแหล่งทุน จากสถาบันการเงินต่างๆ

สำหรับ การนำสต็อกบ้านสำเร็จรูปมาทำไฟแนนซ์สต็อกเพื่อนำเงินส่วนนี้มาเป็นเงินทุนหมุนเวียนจะทำให้สภาพคล่องค่อนข้างดี อย่างไรก็ตาม สภาพคล่องจะดีหรือไม่ดี อยู่ที่จุดเริ่มต้นว่า เงินกู้จำนวนเท่าไร มากแค่ไหน หรือที่เรียกว่า อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Debt to Equity ratio) หรือ D/E ratio ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไม่ควรเกิน 2ต่อ1 บริษัทไหนกู้มากจะมีภาระดอกเบี้ยสูงทุนน้อย บริษัทที่มี D/E ratio น้อยแปลว่าทุนเยอะ ก็จะสามารถฟันผ่าอุปสรรคไปได้

"แนวทางการพัฒนาโครงการปัจจุบัน จะต้องมีการเซอร์เวย์เพื่อสร้างความมั่นใจว่าวิเคราะห์มาอย่างดี เปิดขึ้นมาแล้วขายได้ ไปรอด แต่ถ้าลองทำพรีเซลแล้วขายไม่ได้ก็ต้องปล่อย โดยเฉพาะตึกสูงถ้าเปิดมาแล้วขายไม่ได้ก็ต้องชะลอโครงการไปก่อน เพราะขายได้น้อยกว่าจุดค้มทุนไม่จำเป็นต้องทูซี้ขาย รอจังหวะดีแล้วค่อยเดินหน้าต่อ"


สิ่งสำคัญถัดมา ต้องรักษาความสัมพันธ์กับสถาบันการเงินและคู่ค้าให้ดี หากสถาบันการเงินมีความเชื่อมั่นจะได้รับสินเชื่ออย่างต่อเนื่องสามารถประคับประคองธุรกิจร่วมกันได้ ซึ่งหากผู้ประกอบการรายใดรายหนึ่งล้มย่อมกระทบสถาบันการเงิน เพราะเกิดหนี้เสีย ดังนั้น บริษัทต้องวางแผนให้รัดกุมไม่ให้เกิดต้นทุนโครงการบานปลาย (cost overrun) ในบริษัทที่มีมาตรฐานน่าเชื่อถือ มีผลประกอบการที่ดีอย่างต่อเนื่อง

"ในวิกฤตินี้ผู้ประกอบการที่แข็งแรงจึงสามารถอยู่รอดได้ ซึ่งเป็นผลมาจากพื้นฐานการเงินที่มั่นคง ความสามารถในการบริหารจัดการที่ดี ขณะที่คู่แข่งต้องชะลอโครงการ เพราะขาดความพร้อม"

นายชาติชาย กล่าวต่อว่า ภาครัฐต้องวางนโยบายช่วยเหลือภาคอสังหาริมทรัพย์ หลังเปิดแคมป์ก่อสร้างเพื่อให้ตลาดฟื้นตัวเร็วขึ้น อาทิ ขยายเวลามาตรการลดค่าธรรมเนียมโอน ค่าจดจำนองสำหรับผู้ซื้อบ้าน ปัจจุบันอยู่ในช่วงที่ลดค่าธรรมเนียมซึ่งมีอายุมาตรการถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2564 เป็นการช่วยผู้ประกอบการและผู้ซื้อในระดับหนึ่ง

นอกจากนี้ ควรมีมาตรการกระตุ้นอื่นๆ อาทิ ค่าภาษีธุรกิจเฉพาะ การเอายอดเงินผ่อนชำระค่างวดไปลดหย่อนภาษี หรือการผ่อนปรนมาตรการแอลทีวี เพื่อให้ลูกค้าใช้เงินน้อยลงในการซื้อที่อยู่อาศัยที่เป็นบ้านหลังแรกไม่ใช่การซื้อเพื่อเก็งกำไร หรือให้เงินอุดหนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือ ซอฟท์โลน เพื่อกระตุ้นตลาด

ทั้งนี้ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เป็นอุตสาหกรรมที่มีความเกี่ยวเนื่องหลายภาคส่วนสร้างการเติบโตหลายธุรกิจ เช่น อุตสาหกรรมต้นน้ำอย่าง อิฐ หิน ปูน ทราย เฟอร์นิเจอร์ รวมทั้งแรงงาน ล้วนเป็นฟันเฟืองเศรษฐกิจ และวาระเร่งด่วน รัฐบาลต้องจัดหาและเร่งการฉีดวัคซีนให้ประชาชนโดยเร็วที่สุดเพื่อช่วยทำให้การติดเชื้อน้อยลง ลดการใช้มาตรการล็อกดาวน์ จะส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้เร็ว หาก "ช้า" ปัญหาต่างๆ จะยืดเยื้อต่อไป
#3802
 

"พระจันทร์ฉาย พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม" ณ วันนี้ ได้สร้างตำนานบทใหม่ของตัวเองด้วยการโค่นแชมป์เจ้าตำนานอย่าง "สามเอ ไก่ย่างห้าดาว" นั่งแท่นแชมป์โลก ONE มวยไทย รุ่นสตรอว์เวต และนับเป็นแชมป์โลก ONE ชาวไทยคนที่ 9 ONE ชาวไทยคนที่ 9 ในประวัติศาสตร์ วัน แชมเปียนชิพ วันนี้ เราจะพาไปทำความรู้จักกับเขาให้มากกว่าที่คุณเคยรู้

1.ฉายาเก่า
ก่อนที่ พระจันทร์ฉาย จะได้รับฉายา "ฉายเป็นชุด" ที่คุ้นเคยกันทุกวันนี้ เขายังมีฉายาอื่น ๆ มาแล้วหลายชื่อ เริ่มต้นด้วยฉายาเมื่อครั้งยังเป็นเด็กว่า "หมูบินอวกาศ" ที่มาจากรูปร่างอ้วนท้วมสมบูรณ์แต่มีความพลิ้วไหวและคล่องแคล่ว ต่อมามีแฟนมวยเรียก "ยอดมวยไร้บัลลังก์" เพราะมีสถิติการชกที่โดดเด่นเข้ารอบคัดเลือกให้ได้รับรางวัล "นักมวยไทยยอดเยี่ยม" จากสมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาแห่งประเทศไทย อยู่หลายหน แต่สุดท้ายไม่เคยได้รับรางวัลยอดมวยไทยกับเขาสักปี

2. เทียบชั้นยอดมวย
แม้ที่ผ่านมา พระจันทร์ฉาย จะไม่เคยได้รางวัล "ยอดมวยไทย" ที่ถือเป็นเกียรติยศสูงสุดของนักมวย แต่เขาก็ได้รับการยกย่องว่าฝีมือเทียบชั้นยอดมวยแห่งยุค โดยเคยประมือกับ "ยอดมวย" มาแล้วหลายคน ทั้ง "ยอดมวย ปี 2555" แสงมณี ส.กาแฟมวยไทย, "ยอดมวยไทย 3 พ.ศ. (ปี 2556 - 2558)" พันธ์พยัคฆ์ จิตรเมืองนนท์, "นักมวยไทยดีเด่น กกท.ปี 2557" ซุปเปอร์แบงค์ ศักดิ์ชัยโชติ, "นักมวยไทยดีเด่น กกท.ปี 2559" ปืนกล ต.สุรัตน์ และ "นักมวยไทยดีเด่น กกท.ปี 2562" เขี้ยวพยัคฆ์ จิตรเมืองนนท์

3. เจ้าของเข็มขัด 8 เส้น
พระจันทร์ฉาย ครองเข็มขัดแชมป์มาแล้ว 8 เส้น เป็นแชมป์มวยไทย 6 เส้น และแชมป์มวยสากล 2 เส้น จากทั้งเวทีราชดำเนิน เวทีลุมพินี และเวทีมวยสากลอาชีพ

4. ไฟต์ประทับใจ
ไฟต์ที่ถือว่าเป็นเกียรติภูมิของวงศ์ตระกูล และค่ายมวย ป.เพ็ชรน้ำทอง คือนัดชิงเข็มขัดเส้นแรกในชีวิต รุ่นมินิมัมเวต 105 ป. ของเวทีมวยราชดำเนิน โดยเอาชนะคะแนน ช่อฟ้า (เทียนขาว) ท.แสงเทียนน้อย ในศึกวันทรงชัย เมื่อ 10 มิ.ย.53 ตอนอายุ 16 ปี

5.นักสู้คู่ซี้
เพื่อนซี้ทั้งในและนอกสังเวียนของ พระจันทร์ฉาย คือ "ขวัญใจเด็กช่าง" ปกรณ์ พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม (ศักดิ์โยธิน) ที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กโดยพ่อของทั้งสองคนนั้นเป็นเพื่อนกัน ทั้งยังเคยฝึกซ้อมค่ายเดียวกัน และปัจจุบัน ก็ยังย้ายมาอยู่ที่ค่าย พี.เค.แสนชัยฯ ด้วยกันอีก คงไม่ต้องบอกว่าสนิทกันแค่ไหน

6. ครูมวยเฉพาะทาง
นอกจากครูมวยไทยแล้ว พระจันทร์ฉาย ยังมี "อ.ปุ๋ย" สุเทพ ณ นคร ซึ่งถือเป็นผู้เชี่ยวชาญสายหมัดโดยเฉพาะของวงการมวยไทย โดย อ.ปุ๋ย เป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของมวยสากลมานักต่อนัก โดยพระจันทร์ฉาย ยกย่องให้ อ.ปุ๋ย เป็นปรมาจารย์พิเศษผู้ถ่ายทอดวิชาด้านการออกหมัดให้แก่เขา

7. ค่าตัวสูงสุด
ปัจจุบัน พระจันทร์ฉาย ชกด้วยเงินรางวัลค่าตัวประมาณ 1.2 แสนบาทสำหรับการชกในประเทศ และเคยได้สูงสุดในนัดพิเศษถึง 1.5 แสนบาท ในการชกกับ "ดาวรุ่งแดนใต้" วรวุฒิ บ่าววียิมส์ ศึก พี.เค.แสนชัยฯ วันที่ 15 พ.ค.61 ที่เวทีมวยลุมพินี โดยผลการชก พระจันทร์ฉาย ชนะทีเคโอ.ยก 3 และเมื่อได้เป็นแชมป์โลก ONE เขาจะทำสถิติใหม่แน่นอน

8. ไอดอลในดวงใจ
พระจันทร์ฉาย มีไอดอลในดวงใจ 3 คน คือ "แก่นศักดิ์ ส.เพลินจิต" ยอดมวยไทย 2 พ.ศ.(ปี 2532 - 2533) ซึ่งเป็นหนึ่งในตำนานมวยไทย, คนที่ 2 คือ "โคตรมวยสารคาม" แสนชัย พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม พี่ใหญ่ของค่าย และคนสุดท้ายคือ "ปกรณ์ พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม" นักมวยดีเด่น กกท.ปี 2556 เพื่อนสนิทตั้งแต่เล็กจนโต

9. งานอดิเรก
การเลี้ยงไก่ชนคงเป็นสิ่งที่แยกไม่ออกจากชีวิตนักมวย พระจันทร์ฉาย ก็เป็นอีกคนที่หลงใหลการเลี้ยงไก่ชนและใฝ่ฝันอยากมีซุ้มไก่เป็นของตนเอง เพราะเคยเห็นพ่อเลี้ยงไก่มาตั้งแต่สมัยเป็นเด็ก จึงมีความผูกพันเป็นพิเศษ ปัจจุบัน พระจันทร์ฉาย มีไก่ตัวโปรดอยู่ 2 ตัว ชื่อ "ทองสุข" และ "เบียร์ซิ่ง" นอกจากนี้ยังเลี้ยงนกแก้วอีก 1 ตัว เขาบอกว่าเป็นคนไม่กลัวสัตว์ แม้จะเป็นสัตว์แปลก ๆ ก็สามารถเล่นได้หมด

10. กีฬาสุดโปรด
นอกเหนือจากมวยไทยแล้ว พระจันทร์ฉาย ยังเป็นคนมีพรสวรรค์ในการเล่นกีฬาได้หลากหลายชนิด แต่ที่โปรดปรานที่สุดคือ ฟุต. บาสเกต. และชนไก่
#3803


อังเดร เดอ กราสส์ กลายเป็นลมกรดจากแคนาดาคนแรกในรอบ 93 ปี ที่ผงาดคว้าเหรียญทองวิ่ง 200 เมตร ในโอลิมปิกเกมส์ มาครองได้สำเร็จ หลังเอาชนะ 3 นักวิ่งอเมริกัน ในรอบชิงชนะเลิศ

การแข่งขันกรีฑาในโอลิมปิก 2020 ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น วันที่ 4 สิงหาคมที่ผ่านมา ไฮไลท์สำคัญอยู่ที่ชิงเหรียญทองของ วิ่ง 200 เมตร ชาย

ปรากฎว่า อังเดร เดอ กราสส์ สุดยอดลมกรดชาวแคนาดา วิ่งเข้าเส้นชัยเป็นอันดับที่ 1 ด้วยเวลา 19.62 วินาที ผงาดคว้าเหรียญทองไปครองได้สำเร็จ

ขณะที่เหรียญเงิน ได้แก่ เคนเนธ เบดนาเร็ก จากสหรัฐอเมริกา ที่ทำได้ 19.68 วินาที และเหรียญทองแดง ตกเป็นของ โนอาห์ ไลลส์ อีกหนึ่งนักวิ่งอเมริกา ที่ทำได้ 19.74 วินาที ส่วน อีร์ริยอน ไนท์ตัน นักวิ่งดาวรุ่งวัย 17 ปีชาวอเมริกัน เข้าเส้นชัยเป็นอันดับ 4 ทำเวลาไป 19.93 วินาที

การคว้าเหรียญทองในครั้งนี้ของลมกรดวัย 26 ปี ถือเป็นเหรียญที่ 2 ของตัวเองในโอลิมปิกครั้งนี้ หลังจากก่อนหน้านี้เขาได้เหรียญทองแดงในวิ่ง 100 เมตรมาแล้ว

นอกจากนี้ อังเดร เดอ กราสส์ ยังกลายเป็นนักวิ่งจากแคนาดา คนที่ 3 ในประวัติศาสตร์ ที่คว้าเหรียญทองวิ่ง 200 เมตรไปครอง ต่อจาก โรเบิร์ต เคอร์ ที่เคยทำเอาไว้เมื่อปี 1908 และเพอร์ซี วิลเลียมส์ ที่ทำได้ในปี 1928 ซึ่งเจ้าตัวถือเป็นลมกรดแคนาดาคนแรกในรอบ 93 ปี ที่ได้ทองในการวิ่ง 200 เมตรอีกด้วย
#3804


ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย(เอดีบี) ,บริษัทการเงินชั้นนำของโลกอย่างพรูเดนเชียล, ซิติ,เอชเอสบีซี และแบล็กร็อค เรียล แอสเสตต์ ร่างแผนการต่างๆเพื่อปิดโรงผลิตกระแสไฟฟ้าจากถ่านหินในหลายประเทศของเอเชียเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ ขณะที่หลายประเทศในอาเซียนที่พึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลขณะนี้ก็เริ่มใช้น้ำมันน้อยลงและหันมาใช้พลังงานทางเลือกมากขึ้น

เว็บไซต์อัลจาซีราห์ รายงานโดยอ้างแหล่งข่าววงใน 5 คนที่รู้เกี่ยวกับความเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ดี ระบุว่า บริษัทการเงินชั้นนำของโลกวางแผนการต่างๆเพื่อเร่งกระบวนการปิดโรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานจากถ่านหินทั่วภูมิภาคเอเชียเพื่อลดแหล่งปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ใหญ่ที่สุด

แผนการของกลุ่มบริษัทให้บริการทางการเงินที่ได้รับการสนับสนุนและขับเคลื่อนโดยเอดีบี เสนอรูปแบบการทำงานที่มีศักยภาพและการหารือแต่เนิ่นๆกับรัฐบาลของทุกประเทศในภูมิภาคอาเซียน ตลอดจนธนาคารของประเทศต่างๆที่ต่างก็ให้การสนับสนุนแผนการนี้ กลุ่มฯมีแผนที่จะสร้างหุ้นส่วนที่เป็นการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อซื้อโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าใช้พลังงานจากฟอสซิลภายใน15ปี ซึ่งเร็วกว่าอายุขัยโดยเฉลี่ยของโรงงานเหล่านี้ ทำให้พนักงานมีเวลาที่จะเกษียณหรือหางานใหม่ทำและเปิดโอกาสให้ประเทศต่างๆปรับเปลี่ยนไปใช้แหล่งพลังงานที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ และตั้งเป้าที่จะมีโมเดลที่พร้อมสำหรับการประชุมสภาพอากาศ COP 26 ที่จัดขึ้นในเมืองกลาสโกว์ประเทศสก็อตแลนด์ในเดือนพ.ย.นี้

"ภาคเอกชนมีแนวคิดที่ดีเยี่ยมหลายแนวคิดเกี่ยวกับการแก้ปัญหาสภาพอากาศเปลี่ยนและเราจะทำหน้าที่ประสานงานเพื่ออุดช่องว่างระหว่างภาคเอกชนและตัวแทนของภาครัฐ"อาห์เหม็ด เอ็ม ซาอิด รองประธานเอดีบี กล่าว

ข้อริเริ่มในเรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงที่บรรดาธนาคารเพื่อการพัฒนาแลพธนาคารพาณิชย์กำลังถูกกดดันอย่างหนักจากบรรดาผู้ถือหุ้นรายใหญ่ให้ถอนตัวจากการสนับสนุนทางการเงินแก่บรรดาโรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานรูปแบบเก่าเพื่อให้การผลักดันลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ดำเนินไปตามเป้าที่หลายประเทศวางไว้


ซาอิด กล่าวด้วยว่า การซื้อโรงไฟฟ้าแห่งแรกภายใต้โครงการนี้น่าจะเริ่มได้เร็วที่สุดปีหน้่า โดยโรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานจากฟอสซิลมีสัดส่วนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณหนึ่งในห้าของปริมาณก๊าซเรือนกระจกทั่วทั้งโลก ถือเป็นตัวการสร้างมลภาวะรายใหญ่สุด

สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ(ไออีเอ)คาดการณ์ว่า ความต้องการถ่านหินทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 4.5% ในปี 2564 โดยภูมิภาคเอเชียมีสัดส่วนการใช้พลังงานชนิดนี้เพิ่มขึ้นมากถึง 80%

ขณะที่คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ(ไอพีซีซี)เรียกร้องให้โรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าที่ใช้พลังงานถ่านหินลดการใช้ถ่านหินลงจาก 38% เหลือ 9%ของการผลิตพลังงานทั่วโลก ภายในปี 2573 และเหลือ 0.6% ภายในปี 2593

ด้านชาติสมาชิกอาเซียนที่พึ่งพาเชื้อเพลิงจากฟอสซิล เริ่มลดการใช้น้ำมัน พลังงานจากถ่านหิน หรือแหล่งพลังงานที่สร้างมลภาวะแก่บรรยากาศ ด้วยความหวังว่าจะช่วยลดผลกระทบจากภาวะโลกร้อนและเพื่อผลักดันให้ประเทศมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ในปริมาณน้อยที่สุด โดยรัฐวิสาหกิจไฟฟ้าของรัฐบาลอินโดนีเซีย ให้คำมั่นว่าจะเลิกใช้พลังงานจากถ่านหินภายใน 40ปี

ปรูซาฮาน ลิสตริก เนการา ของอินโดนีเซีย ให้สัญญาว่าจะเลิกสร้างโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้ที่ใช้ถ่านหินเพิ่มและมีแผนที่จะเปลี่ยนโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าที่มีอยู่ในปัจจุบันเป็นโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าที่ใช้พลังงานที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ในช่วงปี 2568 และ2603 ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นเรื่องท้าทายอย่างมากเนื่องจากเชื้อเพลิงจากฟอสซิลยังคงมีบทบาทสำคัญในภูมิภาคนี้ในยุคที่ทุกครัวเรือและทุกภาคอุตสาหกรรมต่างก็ต้องการพลังงานเพิ่มขึ้น

กระทรวงพลังงานและทรัพยากรเหมืองของอินโดนีเซีย ระบุว่า ประเทศผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานถ่านหินในสัดส่วนสูงถึง 48% เพราะฉะนั้น อุตสาหกรรมถ่านหินยังคงเป็นเสาหลักทางเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย และถ่านหินอาจจะเป็นตัวแปรสำคัญทำให้อินโดนีเซียไม่สามารถให้คำมั่นที่จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ให้เป็นศูนย์เปอร์เซนต์ได้เหมือนประเทศอื่นๆ

สำหรับในประเทศไทย รัฐบาลตั้งเป้าว่าภายในปี 2573 จะผลิตยานยนต์ไฟฟ้าให้ได้ 30% ของปริมาณการผลิตรถยนต์ 2.5 ล้านคัน และปี 2583 ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าจะมากกว่ารถยนต์แบบเดิม เช่นเดียวกับสถานีบริการน้ำมันจะหันไปสู่ธุรกิจให้บริการแท่นชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแทน

ขณะที่ค่ายรถยนต์ทุกแห่งต่างหันเข้าสู่สนามการผลิตใหม่กันถ้วนหน้า เห็นได้จากการขอรับการส่งเสริมการลงทุน ทั้งรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด (HEV) รถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) และรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) โดยค่ายรถยนต์ทั้ง นิสสัน โตโยต้า มาสด้า ฮอนด้า มิตซูบิชิ ออดี้ เอ็มจี เมอร์เซเดส-เบนซ์ บีเอ็มดับเบิลยู ที่เห็นแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ชนิดนี้

ส่วนในเวียดนาม กระทรวงอุตสาหกรรม กำลังพิจารณาให้แรงจูงใจด้านภาษีสำหรับผู้ต้องการซื้อรถไฟฟ้า และกลุ่มบริษัทชั้นนำของเวียดนามอย่าง วินกรุ๊ป กำลังเดินสายการผลิตรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าทั้งคัน พร้อมทั้งวางแผนจำหน่ายในเดือนพ.ย.ที่จะถึงนี้

ขณะที่การสนับสนุนจากนานาชาติก็เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้การเปลี่ยนผ่านนี้ดำเนินได้อย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อเดือนมิ.ย. ญี่ปุ่นจัดสรรเงิน 10,000 ล้านดอลลาร์ให้แก่อาเซียนเพื่อเป็นทุนใช้ในโครงการต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์
#3805


ถือเป็นโครงการเมกะโปรเจ็กต์ที่ใช้เวลาในการผลักดันอย่างยาวนานกว่า 2 ปีสำหรับโครงการ "ท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3" โครงการสำคัญในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ซึ่งการล่าช้ามาจากข้อขัดแย้งของเอกชน 2 กลุ่มที่เข้ายื่นซองแข่งขันการประมูล ก่อนที่กลุ่มหนึ่งจะถูกตัดสิทธิ์จากข้อผิดพลาดเรื่องเอกสารทำให้มีการไปฟ้องร้องศาลปกครองเป็นคดีความอยู่นานกว่า 1 ปี ทำให้ขั้นตอนการอนุมัติโครงการ การเซ็นสัญญาล่าช้ามาเป็นเวลาพอสมควร 

ล่าสุดโครงการนี้มีความชัดเจนและความคืบหน้าที่สำคัญ เมื่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) เมื่อวันพุธที่ 4 สิงหาคม 2564 ที่มี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการ กพอ. เป็นประธานได้พิจารณา ผลการคัดเลือกเอกชน ผลการเจรจา และร่างสัญญาร่วมลงทุน โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ในส่วนของท่าเทียบเรือ F ตามที่ คณะกรรมการคัดเลือกฯ ได้ดำเนินการตาม มติ ครม. เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2564 

คณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการอีอีซี กล่าวว่าขณะนี้ได้มีการส่งสัญญาร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐกับเอกชนให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณา จากนั้นจะนำเอาสัญญาที่ผ่านการพิจารณาแล้วเข้าสู่การพิจารณาของ กพอ.นัดพิเศษ และนำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อผ่านความเห็นชอบแล้วก็จะมีการเซ็นสัญญากับภาคเอกชนโดยกลุ่มกิจการร่วมค่า GPC กับการท่าเรือแห่งประเทศไทย คาดว่าจะดำเนินการได้ในเดือน ส.ค.นี้

ส่วนการก่อสร้างท่าเรือ F1 คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในปี 2568 และท่าเรือ F2 จะดำเนินการให้แล้วเสร็จในปี 2572 จากนั้นจะเปิดประมูลท่าเรือใกล้เคียงในบริเวณดังกล่าว ได้แก่ ท่าเรือ E ซึ่งจะมีการเชิญชวนเอกชนมาร่วมลงทุนอีกโครงการ 

อนุมัติผลประโยชน์ตอบแทนทางการเงินที่ภาครัฐได้รับจากโครงการฯ เป็นค่าสัมปทานคงที่ คิดเป็นมูลค่าปัจจุบัน 29,050 ล้านบาท และค่าสัมปทานผันแปรที่ 100 บาทต่อ TEU (หน่วยนับตู้คอนเทนเนอร์ซึ่งมีขนาด 20 ฟุต)

โดยคณะกรรมการคัดเลือกฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2564 ได้มีมติให้กลุ่มกิจการร่วมค้า GPC เป็นผู้ผ่านการประเมินข้อเสนอซองที่ 4 ซึ่งได้เสนอผลประโยชน์ตอบแทนทางการเงินที่ภาครัฐได้รับ ตามที่ มติ ครม. ได้อนุมัติไว้

นอกจากนี้ ยังได้เจรจาผลตอบแทนเพิ่มเติม อาทิ เอกชนตกลงเพิ่มเงื่อนไขการสร้างท่าเรือ F2 ให้เร็วขึ้น หากแนวโน้มตู้สินค้าเพิ่มขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้ เอกชนจะสมทบเงินเข้ากองทุนเยียวยาความเสียหาย ในอัตรา 5,000 บาท/ไร่/ปี นับตั้งแต่วันเริ่มประกอบการท่าเทียบเรือ เป็นต้น

ทั้งนี้ คณะทำงานเจรจาร่างสัญญา ฯ ที่มีผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุดเป็นประธาน ได้ดำเนินการเจรจาร่างสัญญาร่วมลงทุนกับเอกชน รวมทั้งสิ้น 14 ครั้ง โดย ยึดหลักเจรจาตามเอกสารการคัดเลือกเอกชน ระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างโปร่งใส รัดกุม และประเทศได้ประโยชน์สูงสุด จนได้ข้อยุติในเบื้องต้น จากนั้นคณะกรรมการคัดเลือกฯ ได้เจรจาร่างสัญญาร่วมลงทุนกับเอกชนเพิ่มเติมอีก 4 ครั้ง จนได้ข้อยุติในทุกประเด็น

และในการประชุมเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2564 คณะกรรมการคัดเลือกฯ มีมติว่าได้ดำเนินการเจรจาร่างสัญญาร่วมลงทุนครบถ้วนทุกประเด็นแล้ว จึงเสนอให้การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) และ สกพอ. พิจารณาดำเนินการต่อไป โดย กทท. ได้ส่งร่างสัญญาร่วมลงทุนให้สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจพิจารณา ทั้งนี้ได้ข้อตกลงในร่างสัญญาร่วมลงทุนกับเอกชนเรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างการพิจารณาจากสำนักงานอัยการสูงสุด  โดยจะเร่งนำเสนอ ครม. พิจารณา และลงนามสัญญาต่อไป

โครงการนี้จะก่อให้เกิดการลงทุนรวมกว่า 7.92 หมื่นล้านบาท เป็นการลงทุนของภาครัฐประมาณ 4.83 หมื่นล้านบาท และการลงทุนของเอกชนประมาณ 3.08 หมื่นล้านบาท

ก่อนหน้านี้มีการรายงานผลตอบแทนโครงการ และการวิเคราะห์ทางการเงินให้ที่ประชุม ครม.รับทราบเกี่ยวกับโครงการดังกล่าวจากข้อเสนอซองที่ 4 ด้านผลประโยชน์ตอบแทนนั้น กลุ่มกิจการร่วมค้า GPC เสนอค่าสัมปทานคงที่คิดเป็นมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) ที่ 12,051 ล้านบาท และค่าสัมปทานผันแปรที่ 100 บาทต่อทีอียู ซึ่งค่าสัมปทานคงที่ดังกล่าวต่ำกว่าที่รัฐคาดหมายตามมติ ครม. โดยคณะกรรมการคัดเลือกฯ ได้เจรจาผลประโยชน์ตอบแทนทางการเงินกับกลุ่มกิจการร่วมค้า GPC จำนวน 6 ครั้ง โดยข้อเสนอสุดท้ายอยู่ที่ 29,050 ล้านบาท และค่าสัมปทานผันแปรคงเดิมที่ 100 บาทต่อทีอียู

ขณะเดียวกัน กทท.และ สกพอ.ได้เสนอความเห็นร่วมกันว่า ผลตอบแทนโครงการเฉพาะส่วนของท่าเทียบเรือ F จะมีอัตราผลตอบแทนทางการเงิน (FIRR) อยู่ที่ 11.01% และมีมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV ) อยู่ที่ 30,032 ล้านบาท และหากนำมูลค่าที่ดินของ กทท.มาคำนวณเป็นมูลค่าสุดท้าย (Terminal Value) จะมีอัตราผลตอบแทนทางการเงินอยู่ที่ 11.54% และมีมูลค่าปัจจุบันสุทธิอยู่ที่ 39,959 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในระดับที่ดีสำหรับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่

  

สำหรับ "กลุ่มกิจการร่วมค้า GPC" เป็นการร่วมทุนกันของ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ "GULF"  บริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด หรือ "PTT Tank" และ บริษัท ไชนาร์ฮาเบอร์ เอ็นจิเนียร์ริ่ง จำกัด โดยถือหุ้นในสัดส่วน 40% 30% และ 30% ตามลำดับ  
#3806












หอพัก ห้องเช่า 9 ห้องบนเนื้อที่ 60ตร.วา ต.หลักหก อ.เมือง จ.ปทุม ย่านแหล่งชุมชนเจริญ ใกล้มหาวิทยาลัย ม.รังสิต เสนอขาย 2,400,000 บาท เช่า 2000 บาทต่อเดือน

ห้องว่างหอพักแถว ม.รังสิต ให้เช่าราคาถูก 2000 บาท/เดือน วางประกัน1เดือน แจ้งเข้าอยู่ได้เลย หอพักชั้นเดียว 9ห้อง มี2ฝั่งห้อง 101-109 หลังคาเขีนวรั้วขาว อยู่ทางเข้า ม.รังสิต ใกล้แหล่งเจริญ ย่านชุมชน คมนาคมสะดวก สามารถตัดเข้าออกได้หลายทาง สาธารณูปโภคครบครัน  จับจุดวัดนาวง เมื่ออยู่หน้าวัดตรงมาประมาณ 500ม. เข้า ซ.นาวง4พัฒนา ซอย3 ปากซอยอยู่ตรงข้ามร้านกาแฟAmaxon Coffe จากนั้นเข้ามาประมาณ 200ม.หอพักอยู่ด้านซ้ายตรงข้ามร้านค้า

นิวส์ เคอร์เรนท์
02 536 4025
https://maps.app.goo.gl/Pd9t7RvJFN8idEFC6

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=157513623012847&id=100062626307647
#3807


เป็นเรื่องปกติธรรมดาอยู่แล้ว ที่เหล่าเซเลบริตีซึ่งมีธุรกิจของครอบครัวและต่างสืบทอดธุรกิจกันมาจากรุ่นสู่รุ่น แต่จะมีบางบ้านที่อาจจะมีลูกหลายคน และอาจจะมีบางคนไม่อยากทำธุรกิจของครอบครัว แต่อยากที่จะทำตามฝันสร้างธุรกิจเป็นของตัวเอง และมีอีกหลายคนที่จำเป็นต้องช่วยทำธุรกิจของครอบครัวบ้าง แต่มุ่งเดินหน้าธุรกิจของตัวเองอย่างสุดกำลัง ซึ่งจะมีใครบ้างนั้นตามมาดูกัน

อุณาวรรณ ตั้งคารวคุณ
"ยูกิ-อุณาวรรณ ตั้งคารวคุณ" ทายาทคนโตของ อรสา ตั้งคารวคุณ หนึ่งในเจ้าของธุรกิจสี TOA ภายใต้บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ยูกิเป็นทายาททางธุรกิจที่ไม่ประสงค์จะสืบสานธุรกิจของครอบครัว แต่รักที่จะเดินทางตามฝันของตัวเองซึ่งชอบแฟชั่นและรักการแต่งตัวมาตั้งแต่เด็กๆ ด้วยการสร้างแบรนด์ "ยูนา" (YUNA) แบรนด์เสื้อผ้าที่เธอปลุกปั้นมากับมือ จนเข้าสู่ปีที่ 10 แล้ว นอกจากนี้ เธอยังนำร้านชานมไข่มุก The Alley จากไต้หวันมาเปิดในไทย จนเป็นที่นิยมของสาวกชานม และขยายสาขาไปกว่า 20 แห่ง โดยเธอนั่งบริหารในตำแหน่งเอ็มดีของบริษัท มิลลาร์รี่ กับธุรกิจด้านอาหารและเครื่องดื่ม ที่เธอหมายมั่นปั้นมือมาจนสำเร็จสมใจ



กรัชเพชร อิสสระ
รายนี้เป็นทายาทของอาณาจักรใหญ่แห่งไขมุกอันดามัน "ปลาเข็ม-กรัชเพชร อิสสระ" ลูกสาวคนเล็กของ สงกรานต์ กับศรีวรา อิสสระ แห่งศรีพันวา ภูเก็ต ที่พี่ชายทั้งสองคน ปลาวาฬ-วรสิทธิ์ และปลาทู-ดิฐวัฒน์ ต่างก็มุ่งมั่นสืบทอดธุรกิจของครอบครัว มีแต่ตัวเธอเท่านั้นที่แม้จะช่วยธุรกิจของที่บ้านอยู่บ้าง แต่ก็ยังมีธุรกิจในฝันของตัวเอง ที่ไม่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ นั่นก็คือ แบรนด์ KEMISSARA ซึ่งเป็นแบรนด์แฟชั่นที่เธอภาคภูมิใจ สมกับที่เธอร่ำเรียนทางด้านแฟชั่นมาจากอังกฤษ



มธุนาฏ ซอโสตถิกุล
สาวเก่งร่างเล็กแต่ใจใหญ่ ทายาทธุรกิจห้างสรรพสินค้าซีคอนสแควร์, รองเท้านันยาง และผงชูรสตราชฎา "ผึ้ง-มธุนาฏ ซอโสตถิกุล" เป็นลูกสาวของ ธีระ และบุศรา ซอโสตถิกุล หลานสาวของคุณปู่กอบชัย ซอโสตถิกุล หลังจบการศึกษาระดับปริญญาโท เธอก็มุ่งหน้าทำงานด้านศิลปะที่เธอรัก ด้วยการเป็นศิลปินอิสระเจ้าของ "มธุนาฏดีไซน์" ที่มีผลงานเพนต์กำแพงร้านอาหารจนเป็นที่ยอมรับ แม้กระทั่ง ร้านอาหารในสหรัฐอเมริกา ยังต้องใช้บริการฝีมือเพนต์กำแพงของเธอมาแล้วหลายแห่ง จึงทำให้เป็นกำลังใจให้เธอมุมานะที่จะสร้างผลงานของตัวเอง ให้คนจดจำเธอได้ในฐานะมธุนาฏดีไซน์ ไม่ใช่เพราะเธอเป็นทายาทธุรกิจใหญ่



สุวดี พึ่งบุญพระ
ประธานกรรมการบริษัท PP Group Thailand ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายแบรนด์แฟชั่นสุดหรูชื่อดังระดับโลก Givenchy, Loewe, Tory Burch, Longchamp, Roger Vivier, MCM, Off White, Maison Kitsune และ Palm Angels แม้ว่า "ปิ่น-สุวดี พึ่งบุญพระ" จะเติบโตมาในครอบครัวที่ทำธุรกิจด้านการสื่อสารมวลชนและสิ่งพิมพ์ ของคุณพ่อสวาสดิ์ และคุณแม่ประพีร์ ปุ้ยพันธวงศ์ แต่ตัวเธอกลับมาบริหารจัดการในเรื่องเกี่ยวกับแบรนด์สินค้าที่หลากหลายรวมทั้งแบรนด์สตรีทแวร์ ร่วมกับน้องชาย "โอฬาร ปุ้ยพันธวงศ์" จนเป็นที่ยอมรับของหนุ่มสาวในแวดวงสังคม



อภินรา ศรีกาญจนา
"ปรางค์-อภินรา ศรีกาญจนา" ทายาทนักธุรกิจพันล้านแห่งเอเชียประภันภัย ลูกสาวคนโตของ คุณพ่อจุลพยัพ ศรีกาญจนา เจ้าของบริษัท เอเชียประกันภัย กับคุณแม่ยูกิ-นราวดี ผู้บริหารบริษัท เพนดูลัม จำกัด (Pendulum) ที่นอกจากจะช่วยคุณแม่ดูแลร้านธุรกิจร้านอาหาร NARA ร่วมกับน้องๆ แล้ว เธอยังทำธุรกิจสตาร์ทอัพเพื่อสังคมของตัวเองในชื่อ U Drink I Drive ให้บริการส่งคนขับรถรับส่งบุคคลที่ไปดื่มในงานสังสรรค์กลับบ้านอย่างปลอดภัย เพื่อช่วยลดอุบัติเหตุเมาแล้วขับ ล่าสุด เธอได้ร่วมแรงร่วมใจกับเพื่อนสาวรุ่นพี่ ทำธุรกิจใหม่ ONNA ที่แปล "ผู้หญิง ผู้หญิง" ในภาษาญี่ปุ่น เพราะทั้งคู่เรียนจบจากญี่ปุ่น และสาวปรางค์ก็ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าและผลิตภัณฑ์อื่นๆ จากญี่ปุ่นมาโดยตลอด จึงตกลงกันว่าควรที่จะแบ่งปันสิ่งดีๆ ให้กับผู้ที่รักสวยรักงามได้ดูแลตัวเอง จึงเป็นที่มาของ @onnaonna2021 นับเป็นธุรกิจใหม่ที่น่าสนใจของสาวปรางค์



วารีนิธิ-วาริธร กันท์ไพบูลย์
ดีไซเนอร์สาวสวย "บูบี-วารีนิธิ กันท์ไพบูลย์" ผู้ก่อตั้งแบรนด์เสื้อผ้า Varithorn Boutique ร่วมกับพี่สาว "เปเป้-วาริธร กันท์ไพบูลย์" ทั้งสองเป็นลูกสาวของนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ชาวฮ่องกง คุณพ่อไกรวุฒิ กับคุณแม่ศศิ กันท์ไพบูลย์ และสร้างแบรนด์เสื้อผ้าให้เป็นที่รู้จักมาได้ถึง 9 ปีแล้ว ไม่เพียงฮอตฮิตในประเทศไทยเท่านั้น ยังส่งออกไปจำหน่ายในหลายประเทศอีกด้วย และด้วยความที่สาวบูบีรักและหลงเสน่ห์ในซูเปอร์คาร์ ปัจจุบันสาวบูบียังทำธุรกิจ The Ultimate Rides ซึ่งเป็นตัวกลางในการซื้อขายรถยนต์ระดับลักชัวรีอีกด้วย ขณะที่ เปเป้ พี่สาวก็มีธุรกิจแบรนด์น้ำตาลโตนด "ตาลสยาม" (Tansiam), ร้านชานมไข่มุก "ราก" (Raak) และคลินิกเสริมความงาม "Infinity Clinic"



ระริน ธรรมวัฒนะ
แม้ว่าจะเป็นลูกหลานของตระกูลใหญ่ ผู้ทำธุรกิจตลาดยิ่งเจริญอันโด่งดังแห่งหนึ่งของเมืองไทย แต่สาวระรินเธอกลับมาปลุกปั้นแบรนด์ไอศกรีมฝีมือคนไทย Guss Damn Good ร่วมกับเพื่อนสนิท นที จรัสสุริยงค์ ซึ่งเป็นคราฟต์ไอศกรีมที่มีคาแรกเตอร์ของตัวเองมาได้ 7 ปี จนเป็นที่ถูกอกถูกใจเหล่าไอศกรีมเลิฟเวอร์



ชยพล หลีระพันธ์
ลูกหลานตระกูลธรรมวัฒนะอีกหนึ่งคน โดยปอนด์เป็นลูกชายคนโตของ อ.มัลลิการ์ (ธรรมวัฒนะ) หลีระพันธ์ แต่เขากลับมุ่งเดินหน้าทำธุรกิจของตัวเอง ไม่ได้สนใจในธุรกิจใหญ่โตของตระกูล ซึ่งที่ผ่านมาแม้ว่าเขาจะเป็นผู้สืบทอดธุรกิจร้านอาหาร มัลลิการ์ ต่อจากคุณแม่ของเขา แต่เขากลับทำให้ธุรกิจนี้โด่งดังและเป็นที่จดจำด้วยตัวของเขาเอง ด้วยไอเดียที่สร้างสรรค์ ไม่ซ้ำใครของเขานั่นเอง



วฤธ หงสนันทน์
คุ้นหน้าคุ้นตากันดีทางหน้าจอทีวี ในบทบาทนักแสดงหนุ่ม "เป๋า-วฤธ หงสนันทน์ บุตรชายคนเล็กของ ศักดิ์ชัย หงสนันทน์ ประธานกรรมการ บริษัท สุปรีมทรัค จำกัด ผู้แทนจำหน่ายรถบรรทุกยี่ห้อ FAW ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ กับวิสาขา หงสนันทน์ น้องชายของพ่อหนุ่มกล้ามล่ำ ปาล์ม-ฐณส หงสนันทน์ ที่ปล่อยให้คุณพี่ชายสุดหล่อลุยธุรกิจของครอบครัวไปอย่างเต็มตัว ส่วนตัวเองหันมาเอาดีด้านการแสดงและนายแบบไปพลางๆ เพราะความที่รักทางด้านแฟชั่นและศิลปะ หล่อเลือกได้ของจริงคร่า



ฐิติกุล อยู่วิทยา
"พลอย-ฐิติกุล อยู่วิทยา" หนึ่งในทายาทผู้ก่อตั้งเครื่องดื่มกระทิงแดง หลานสาวของคุณปู่เฉลียว อยู่วิทยา ที่เธอฉีกแนวมาทำธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงแบบครบวงจร "พอว์พาลส์" นับเป็นธุรกิจที่ไม่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจของครอบครัวอย่างสิ้นเชิง แต่เป็นธุรกิจที่สาวพลอยทำเพราะใจรักอย่างแท้จริง จากพื้นฐานที่เป็นคนรักสุนัขมาก จึงอยากทำธุรกิจเกี่ยวกับน้องหมา ปัจจุบันสาวพลอยทำธุรกิจในฝันของตัวเองมาได้ถึง 8 ปีแล้ว
#3808


อัจฉรีย์ ตันติยันกุล ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด อีตั้น กรุ๊ป ผู้นำเข้ารถยนต์อิสระ รายใหญ่ ระบุว่า อีตั้น กำลังจะเสริมรถใหม่ เข้ามาทำตลาดช่วงปลายปี เอาใจกลุ่มลูกค้าที่ชอบเอสยูวี หรูหราขนาดใหญ่ "แลนด์ ครุยเซอร์" (LAND CRUISER 2022)

 แลนด์ ครุยเซอร์ เป็นรถเอสยูวี ขนาดฟูลไซส์ โดยมีให้เลือก 5 รุ่นย่อย ทั้งเครื่องยนต์เบนซิน และ เครื่องยนต์ดีเซล และมีให้เลือกทั้งแบบเบาะนั่ง 2 แถว 5 ที่นั่ง และ 3 แถว 7 ที่นั่ง


ทั้งนี้ แลนด์ ครุยเซอร์ เตรียมจะเปิดตัวในญี่ปุ่น เร็วๆ นี้ แต่อีตั้นเปิดให้ลูกค้าจองเรียบร้อยแล้ว

โดย แลนด์ ครุยเซอร์ ผลิตขึ้นบนแพลทฟอร์มใหม่ TNGA-F ออกแบบมาสำหรับรถในกลุ่ม เอสยูวี ที่ใช้โครงสร้างแบบ Body-on-frame โดยเฉพาะ โดยช่วยให้ตัวรถมีจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำลง แต่แข็งแรงมากขึ้น และน้ำหนักตัวลดลง 200 กก.

ระบบช่วงล่าง เทคโนโลยีใหม่ E-KDSS โดยทำงานแปรผันกับสภาพพื้นผิวถนนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่ในทางเรียบ ทางต่างระดับ พื้นผิวถนนทุรกันดาร เป็นคลื่นเป็นลอน หรือเส้นทางออฟโรด

ตัวรถ ออกแบบให้ยังคงมีกลิ่นอายของรุ่นเดิมๆ ด้วยเส้นสาย ความเป็นเหลี่ยมสัน เพื่อทำให้รถดูมีความบึกบึน กระจังหน้าออกแบบเป็นรูปตัว U ตกแต่งด้วยโครเมียม ไฟท้ายดีไซน์ใหม่


 

 


นอกจากนี้การออกแบบต่างๆ ทำให้เหมาะกับการใช้งานนอกถนนมากขึ้น เช่น ตำแหน่งไฟ และรูปทรงกันชนที่ป้องกันความเสียหายระหว่างการขับขี่ในเส้นทางทุรกันดาร

ส่วนมิติตัวรถ

ความยาว 4,990 มม.
กว้าง 1,980 มม.
ฐานล้อ 2,850 มม.
ส่วนภายในห้องโดยสาร ออกแบบให้มีความหรูหรามากขึ้น และรุ่นท็อปมาพร้อมกับมูนรูฟ เบาะปรับไฟฟ้า, หน้าจอขนาดใหญ่แบบทัชสกรีน ประตูท้ายไฟฟ้าแบบแฮนด์ ฟรี ติดตั้งกล้อง 360 องศา แผงหน้าปัดแบบแนวนอนช่วยให้จับตำแหน่งของรถได้ง่าย


สำหรับเครื่องยนต์แบ่งเป็น

เครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบคู่ V6 ความจุกระบอกสูบ 5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 409 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 650 นิวตันเมตร
เครื่องยนต์ดีเซล ความจุกระบอกสูบ 3 ลิตร กำลังสูงสุด 304 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตร
เช็คสิทธิ 'ประกันสังคม' www.sso.go.th ม.33 ม.39 ม.40 เช็ควันรับเงินเยียวยา ที่นี่
เช็คเงิน 'เยียวยาประกันสังคม' ม.33 พื้นที่สีแดงเข้ม โอนเข้า 'พร้อมเพย์' วันแรก
ด่วน! ยอด 'โควิด-19' วันนี้ ทะลุ 2หมื่น! พบเสียชีวิต 188 ราย ติดเชื้อเพิ่ม 20,200 ราย ยังไม่รวม ATK อีก 522 ราย
ระบบความปลอดภัยติดตั้งระบบ  Toyota Safety Sense 2.0 เวอร์ชั่นล่าสุด ประกอบไปด้วย

ฟังก์ชั่นตรวจจับจักรยานในเวลากลางวัน
ระบบ Parking Support Brake ซตรวจจับสิ่งกีดขวางในขณะถอยจอดด้วยความเร็วต่ำทั้งด้านหน้าและด้านหลังตัวรถ
ฟังก์ชั่นตรวจจับคนเดินถนนแบบ ทั้งกลางวัน-กลางคืน
Pre-Collision System หลีกเลี่ยงการปะทะทางด้านหน้า

และในรุ่น ท็อป  มาพร้อม ระบบช่วยขับ ระบบ Multi-Terrain Monitor กล้องรอบตัวรถ ที่สร้างเส้นไกด์ไลน์ เพื่อช่วยให้ผู้ขับสามารถเห็นมุมล้อขณะขับขี่ ได้ภายในห้องโดยสารโดยไม่ต้องลงมาจากรถ รวมถึงระบบ Multi-Terrain Select ผู้ขับสามารถเลือกการตอบสนองของช่วงล่างให้เหมาะสมกับสภาพเส้นทาง
#3809


"บิลด์" สื่อดังในประเทศเยอรมนี รายงานว่า โฮเซ มูรินโญ กุนซือใหม่ของ โรมา ทีมดังในศึกกัลโช เซเรีย อา อิตาลี เตรียมเบนเป้าหันไปล่าตัว โธมัส เดอลานีย์ มิดฟิลด์ทีมชาติเดนมาร์กของโบรุสเซีย ดอร์ตมุนด์ ยักษ์ใหญ่แห่งศึกบุนเดสลีกา เยอรมนี ไปเสริมทัพ หลังแผนการคว้าตัว กรานิต ชากา กองกลางของ อาร์เซนอล ทีมในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ส่อแววคว้าน้ำเหลว

สื่อดังแห่งเมืองเบียร์ ระบุว่า เดิมที่ มูรินโญ พุ่งเป้าไปที่การคว้า ซากา มาเสริมทัพเป็นเป้าหมายแรก แต่มีอันต้องผิดหวังไม่อาจสู้ราคาค่าตัวที่ "ปืนใหญ่" ต้นสังกัดของดาวเตะทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ตั้งไว้ได้ ส่งผลให้นายใหญ่ "นางพญาหมาป่า" ต้องเบนเป้าหมายมาหา เดอลานีย์ โดยเวลานี้ ทีมดังจากแดนมะกะโรนี กำลังเฝ้าจับตาสถานการณ์เรื่องการต่อสัญญาใหม่ของมิดฟิลด์ทีมชาติเดนมาร์กกับ "เสือเหลือง" และพร้อมจะยื่นข้อเสนอทันที และคาดว่าทีมจากเมืองเบียร์ อาจจะพร้อมปล่อยดาวเตะรายนี้ออกไปด้วยค่าตัวราว 9 ล้านปอนด์เท่านั้น
#3810


นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ภายในประเทศที่ยังขยายตัวในวงกว้าง ส่งผลกระทบต่อเอสเอ็มอีเป็นจำนวนมาก ทั้งปัญหายอดขายและรายได้ลดลง SME D Bank ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐ เพื่อเอสเอ็มอีไทย จึงออกมาตรการทางการเงินเสริม ด้วยแพคเกจสินเชื่อ "เติมทุน SMEs มีสุข ยิ้มได้" วงเงินรวม 15,000 ล้านบาท ภายใต้ 3 ผลิตภัณฑ์สินเชื่อใหม่ ได้แก่ "SMEs D เติมทุน" "SMEs มีสุข" และ "SMEs ยิ้มได้" ช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ให้มีวงเงินเพิ่มขึ้น นำไปใช้เสริมสภาพคล่อง และลดต้นทุนทางการเงิน


สำหรับจุดเด่นของ 3 ผลิตภัณฑ์สินเชื่อใหม่ เปิดกว้างเอสเอ็มอีทุกกลุ่มธุรกิจ คุณสมบัติกู้ได้ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ทั้งลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่ วงเงินกู้สูงขึ้นถึง 15 ล้านบาทต่อราย ได้แก่ "สินเชื่อ SMEs D เติมทุน" วงเงิน 5,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 4% ต่อปี เปิดโอกาสรับรีไฟแนนซ์จากสถาบันการเงินเดิม ช่วยลดต้นทุนทางการเงิน ผ่อนนานถึง 10 ปี


"สินเชื่อ SMEs มีสุข" วงเงิน 5,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 5% ต่อปี สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการเงินลงทุน ขยาย ปรับปรุงกิจการ หรือปรับเปลี่ยนธุรกิจ รองรับการเติบโตในอนาคต ผ่อนนานถึง 10 ปี และ "สินเชื่อ SMEs ยิ้มได้" วงเงิน 5,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 5.5% ต่อปี ทบทวนวงเงินได้ทุกปี ช่วยเติมทุนหมุนเวียนให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี สามารถบริหารจัดการธุรกิจไม่มีสะดุด โดยเปิดรับคำขอกู้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2565


"SME D Bank ตระหนักดีถึงพันธกิจสำคัญในการเป็นกลไกของรัฐพาเอสเอ็มอีไทยให้เข้าถึงแหล่งทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์โควิด-19 ที่ยังไม่คลี่คลาย ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของเอสเอ็มอีอย่างรุนแรง ธนาคารจึงดำเนินนโยบายให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติม ด้วยการออกแพคเกจสินเชื่อใหม่ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี มีเงินทุนเพิ่มขึ้น ต้นทุนทางการเงินลดลง สามารถนำไปใช้เสริมสภาพคล่องเพียงพอสูงถึงรายละ 15 ล้านบาท ช่วยบริหารจัดการธุรกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และก้าวผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปให้ได้" นางสาวนารถนารี กล่าว
#3811
ขายที่ดินเหมาะทำรีสอร์ท อำเภอแม่จัน เชียงราย

ขายที่ดินเหมาะทำรีสอร์ทเชียงราย อำเภอแม่จัน  ทำโฮมสเตย์ ร้านอาหาร ใกล้แหล่งท่องเที่ยว
ขายที่ดินเหมาะทำรีสอร์ทเชียงราย อำเภอแม่จัน  ทำโฮมสเตย์ ร้านอาหาร ใกล้แหล่งท่องเที่ยว ทีดินบนเนินเขา ขายที่ดินใกล้แหล่งท่องเที่ยวแม่จัน-เชียงราย  พื้นที่ 10ไร่ 1 งาน 35 ตารางวา พัฒนาแล้ว เหมาะมากสำหรับทำรีสอร์ท โฮมสเตย์ ใกล้แหล่งท่องเที่ยว

ขายที่ดินเหมาะทำรีสอร์ทเชียงราย อำเภอแม่จัน  ทำโฮมสเตย์ ร้านอาหาร ใกล้แหล่งท่องเที่ยว ขายที่ดินสวยและถูกแม่จัน เชียงรายโฮมสเตย์ ใกล้แหล่งท่องเที่ยว
ขายถูกที่ดินแม่จันสวยมาก เชียงราย ทีดินสวยมากบนเนินเขา เนื้อที่ 10ไร่ 1 งาน 35 ตารางวา ขายที่ดินใกล้แหล่งท่องเที่ยวแม่จัน พัฒนาแล้ว ปรับแต่ง ภูมิทัศน์ จัดมุมต่างอย่างสวยงาน เหมาะทำรีสอร์ท โฮมสเตย์ ใกล้แหล่งท่องเที่ยว

ขายที่ดินสวยและถูกแม่จัน เชียงราย เหมาะทำรีสอร์ท ขายที่ดินใกล้แหล่งท่องเที่ยวแม่จัน
เชียงราย ขายที่ดินสวยและถูกแม่จัน ใกล้แหล่งท่องเที่ยว จังหวัดเชียราย
เดินทางสะดวก ใกล้แหล่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เห็นวิวธรรมชาติ อากาศดีมาก เป็นส่วนตัว ใกล้ ตัวเมือง,แหล่งท่องเที่ยว,
-โรงพยาบาล เดินทาง 10 นาที 8 กม.
-โลตัส เดินทาง 10 นาที 8 กม.
-เซเว่น เดินทาง 5 นาที 4 กม.
-ตลาด เดินทาง 5 นาที 4 กม.
-ห้าแยกพ่อขุน เดินทาง 40 นาที 35 กม.
-ม.แม่ฟ้าหลวง เดินทาง 25 นาที 20 กม.
-ไร่ชาฉุยฟง เดินทาง 25 นาที 18.5 กม.
-พระตำหนักดอยตุง เดินทาง 30 นาที 29 กม.
ทีดินเหมาะสร้างบ้านแม่จัน หรือ เหมาะทำรีสอร์ท โฮมสเตย์ ทำแหล่งท่องเที่ยว จุดกางเต้นท์ รีสอร์ท ร้านอาหาร ได้
ขายที่ดินอำเภอแม่จันเหมาะทำรีสอร์ท โฮมสเตย์ ปล.ที่ดินพัฒนาแล้ว ระบบน้ำไฟ พร้อม และ ได้ทำการจัดวางมุมต่างๆให้ดูสวยงาม พื้นที่ดินได้รับการดูแลอยู่เสมอ รอคุณมาเป็นเจ้าของ


ราคา ยกแปลง 13 ล้านบาท
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
090-1419966, 081-1122440

รายละเอียดเพิ่มเติม
https://freepost.website/ขายที่ดินเหมาะทำรีสอร์/

คำค้น
ขายที่ดินสวยและถูกแม่จันเหมาะทำรีสอร์ท, ขายที่ดินสวยและถูกแม่จัน-เชียงราย, ขายที่ดินใกล้แหล่งท่องเที่ยวแม่จัน,  ขายที่ดินเหมาะทำโฮมสเตย์แม่จัน-เชียงราย, ทีดินเหมาะสร้างบ้านแม่จัน 
  
 
#3812


บอร์ด ทอท.เคาะขยายเวลาก่อสร้างสุวรรณภูมิ 3 สัญญา "APM-สายพานและเครื่องตรวจระเบิด" โควิดนำเข้าอุปกรณ์ไม่ได้ คำสั่งปิดแคมป์หยุดก่อสร้างหมด มั่นใจไม่กระทบบริการ ชี้ใช้ SAT-1 เมื่อเกิน 50 ล้านคน คาดอุตสาหกรรมการบินฟื้น มี.ค. 66

แหล่งข่าวจาก บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) ทอท. ครั้งที่ 10/2564 เมื่อวันที่ 21 ก.ค. ที่มี นายสราวุธ เบญจกุล เป็นประธาน ได้มีมติอนุมัติขยายระยะเวลางานจ้างโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เฟส 2 จำนวน 3 สัญญา ได้แก่ 1. ขยายระยะเวลาสัญญางานจ้างก่อสร้างอาคารสำนักงานสายการบิน และที่จอดรถด้านทิศตะวันออก โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กับบริษัทพระราม 2 จำกัด ในสัญญาจ้างลงวันที่ 6 มิ.ย. 2562 มูลค่าสัญญา 871.888 ล้านบาท ระยะเวลาก่อสร้าง 540 วัน โดยเป็นการขยายระยะเวลาแล้วเสร็จอีกจำนวน 231 วัน จากเดิมวันที่ 14 ธ.ค. 2563 เป็นวันที่ 2 ส.ค. 2564

2. อนุมัติขยายระยะเวลาสัญญางานซื้อพร้อมติดตั้งระบบขนส่งผู้โดยสารอัตโนมัติ (Automated People Movew : APM) ให้แก่นิติบุคคลร่วมทำงานไออาร์ทีวี ประกอบด้วย บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท เรืองณรงค์ จำกัด บริษัท แบคเคอร์ อินดัสทรี จำกัด และ บริษัท วิวเท็กซ์ จำกัด ในสัญญาจ้างลงวันที่ 20 พ.ย. 2560 มูลค่าสัญญา 2,999.90 ล้านบาท ขยายระยะเวลาแล้วเสร็จอีก 330 วัน จากเดิมวันที่ 3 ก.ย. 2563 เป็นวันที่ 30 ก.ค. 2564

โดยสัญญางานระบบ APM ระยะเวลาก่อสร้างเดิม 870 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 20 พ.ย. 2560-วันที่ 7 เม.ย. 2563 ต่อมามีการขยายระยะเวลาอีก 149 วัน จากวันที่ 7 เม.ย. 2563-วันที่ 3 ก.ย. 2563 และล่าสุดขยายอีก 330 วัน นับรวมระยะเวลาดำเนินงาน 1,019 วัน

3. อนุมัติขยายระยะเวลางานซื้อพร้อมติดตั้งระบบสายพานลำเลียงกระเป๋า (BHS) และระบบตรวจจับวัตถุระเบิด (EDS) (ขาออก) ให้กับนิติบุคคลร่วมทำงาน ล็อกซเล่ย์-แอลพีเอส ประกอบด้วย บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ล็อกซเล่ย์เพาเวอร์ ซิสเต็มส์ จำกัด ในสัญญาจ้างลงวันที่ 1 ก.พ. 2561 มูลค่าสัญญา 3,646.560 ล้านบาท โดยเป็นการขยายระยะเวลาแล้วเสร็จจำนวน 214 วัน จากเดิมวันที่ 6 ส.ค. 2564 เป็นวันที่ 8 มี.ค. 2565

นายกีรติ กิจมานะวัฒน์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายงานวิศวกรรมและการก่อสร้าง ทอท. กล่าวว่า บอร์ด ทอท.มีการพิจารณาขยายระยะเวลาก่อสร้างโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 จำนวน 3 สัญญา ซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เนื่องจากไม่สามารถนำเข้าอุปกรณ์จากต่างประเทศได้ตามกำหนด และคาดว่าในภาพรวมอาจจะต้องมีการพิจารณาปรับขยายระยะเวลาสัญญาอีกครั้งเนื่องจากมาตรการรัฐบาลที่ให้ปิดแคมป์ก่อสร้าง ห้ามเคลื่อนย้ายแรงงาน ทำให้งานก่อสร้างโครงการสุวรรณภูมิเฟส 2 ต้องหยุก่อสร้างทุกสัญญาในขณะนี้ ยกเว้นงานที่อยู่ในความดูแลของวิศวกร เช่น การทดสอบระบบที่ยังทำได้

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะขยายระยะเวลาสัญญา แต่ในขณะนี้โครงการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 ในส่วนของอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (Satellite 1 : SAT-1) เสร็จแล้ว แต่ ทอท.วางแผนในการเปิดใช้อาคาร SAT-1 ต่อเมื่ออาคารผู้โดยสารหลักมีปริมาณผู้โดยสารเกิน 50 ล้านคน/ ปี จึงจะเปิดใช้อาคาร SAT-1 เพื่อลดความแออัดของอาคารหลัก แต่หากอาคารหลักยังไม่แออัดก็ไม่จำเป็นเร่งเปิดใช้ SAT-1 เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายได้ถึง 300 ล้านบาท/เดือน

แต่จากสถานการณ์โรคโควิด-19 ซึ่งมีการประเมินว่าอุตสาหกรรมการบินจะกลับมาในช่วงตารางบินฤดูร้อนปี 2566 (ประมาณเดือน มี.ค. 2566) ซึ่งยังมีเวลาเพียงพอในการก่อสร้างและทดสอบระบบที่เกี่ยวข้องทั้งหมดของสุวรรณภูมิเฟส 2
#3813


นายประกฤต ธัญวลัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) จีเอ็มโอ-แซด คอม (ประเทศไทย) จำกัด ("บล. Zcom") เปิดเผยว่า จากการสนับสนุนทางการเงินอย่างแข็งแกร่งจากบริษัทใหญ่ในประเทศญี่ปุ่นและสถาบันการเงินที่เป็นพันธมิตรทั้งหมดที่มีความเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของตลาดมาร์จิ้นในไทย บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดของยอดลูกหนี้มาร์จิ้นได้อย่างต่อเนื่อง

 โดย ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2564 บริษัทมียอดมูลหนี้จากการให้บริการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์มากกว่าหนึ่งหมื่นล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นมากกว่า 70% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน นับเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญตามที่บริษัทตั้งเป้าหมายไว้ ภายในระยะเวลาเพียง 3 ปีกว่านับตั้งแต่บริษัทเริ่มเปิดให้บริการนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ครั้งแรกในไทยเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2560อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงเดินหน้าในการปรับกลยุทธ์ในการตอบสนองความต้องการของลูกค้าเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่ม และก้าวสู่อันดับหนึ่งในการเป็นผู้ให้บริการด้านบัญชีมาร์จิ้นในธุรกิจหลักทรัพย์ของประเทศไทย

บริการด้านบัญชีมาร์จิ้นหรือบัญชีเครดิตบาลานซ์ ของ บล. Zcom เปิดให้บริการแก่นักลงทุนที่ต้องการกู้ยืมเงิน เพื่อเพิ่มอำนาจซื้อหลักทรัพย์ โดยนักลงทุนจำเป็นต้องนำหลักประกันมาวางไว้กับบริษัทฯ ตามอัตรามาร์จิ้นเริ่มต้น (Initial Margin) ของหลักทรัพย์ที่ต้องการลงทุน ซึ่งมีให้เลือกมากกว่า 600 หลักทรัพย์ ในอัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำที่ 5.95% ต่อปี สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ 02-088-8111
#3814



ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์ที่ผ่านมา (27, 29-30 ก.ค.) มีมูลค่าการซื้อขายรวมกว่า 2.37 แสนล้านบาท ลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้า (19-23 ก.ค.) ที่มีมูลค่าการซื้อขายกว่า 3.62 แสนล้านบาท เนื่องจากเปิดทำการเพียงแค่ 3 วัน

โดยดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ปิดการซื้อขายปลายสัปดาห์ที่ 1,521.92 จุด ปรับตัวลดลง 1.50% จากระดับปิดของสัปดาห์ก่อนอยู่ที่ 1,545.10 จุด

นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิเพียงกลุ่มเดียว 2,841.74 ล้านบาท ส่วนที่เหลือพร้อมใจซื้อ โดยนักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 1,389.84 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 635.29 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 816.60 ล้านบาท

ทั้งนี้ หากพิจารณาการซื้อขายของบัญชี "เอ็นวีดีอาร์" (NVDR) ซึ่งเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับนักลงทุนชาวต่างประเทศในการซื้อหุ้นไทย ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 30 ก.ค. พบว่า

10 อันดับหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติซื้อสูงสุด ได้แก่

KBANK มูลค่าซื้อสุทธิ 543.11 ล้านบาท

TRUE มูลค่าซื้อสุทธิ 341.02 ล้านบาท

ADVANC มูลค่าซื้อสุทธิ 336.23 ล้านบาท

CBG มูลค่าซื้อสุทธิ 321.78 ล้านบาท

CPALL มูลค่าซื้อสุทธิ 251.39 ล้านบาท     

RCL มูลค่าซื้อสุทธิ 214.30 ล้านบาท           

IVL มูลค่าซื้อสุทธิ 206.84 ล้านบาท           

SCC มูลค่าซื้อสุทธิ 203.47 ล้านบาท

PTT มูลค่าซื้อสุทธิ 172.50 ล้านบาท

AOT มูลค่าซื้อสุทธิ 165.76 ล้านบาท

และ 10 อันดับหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติขายสูงสุด ได้แก่

TOP มูลค่าขายสุทธิ 539.02 ล้านบาท   

PTTEP มูลค่าขายสุทธิ 316.17 ล้านบาท   

PTTGC มูลค่าขายสุทธิ 196.51 ล้านบาท   

KGI มูลค่าขายสุทธิ 73.65 ล้านบาท   

GULF มูลค่าขายสุทธิ 66.75 ล้านบาท   

BJC มูลค่าขายสุทธิ 56.52 ล้านบาท   

AS มูลค่าขายสุทธิ 54.45 ล้านบาท   

ASP มูลค่าขายสุทธิ 53.17 ล้านบาท   

IRPC มูลค่าขายสุทธิ 50.01 ล้านบาท   

WICE มูลค่าขายสุทธิ 48.84 ล้านบาท   

https:// www.bangkokbiznews.com/news/detail/952178
#3815


แซนเดอร์ ชอฟเฟเล โปรจาก สหรัฐอเมริกา คว้าเหรียญทอง การแข่งขันกอล์ฟประเภทบุคคล โอลิมปิก 2020 เฉือน รอรีย์ ซับบาตินี จาก สโลวาเกีย แค่สโตรกเดียว เมื่อวันอาทิตย์ที่ 1 สิงหาคม

ก้านเหล็กมือ 5 ของโลก หวด 4 อันเดอร์พาร์ 67 รวม 18 อันเดอร์พาร์ 266 ขณะที่ ซับบาตินี สร้างเซอร์ไพรส์ หวด 10 อันเดอร์พาร์ 61 รวม 17 อันเดอร์พาร์ 267 จบอันดับ 2 ที่สนาม คาสุมิกาเซกิ คันทรี คลับ พาร์ 71

ชอฟเฟเล ผู้นำรอบที่แล้ว กวาด 4 เบอร์ดี ตลอด 8 หลุมแรก ทว่าพลาดโอกาสทิ้งห่าง ช่วง 9 หลุมหลัง เสียโบกี ที่หลุม 14 พาร์ 5 สกอร์รวมเท่ากับ ซับบาตินี ที่นั่งรออยู่ในคลับเฮาส์

อย่างไรก็ตาม ชอฟเฟเล วัย 27 ปี เก็บเบอร์ดีอันล้ำค่า ด้วยลูกพัตต์ระยะ 6 ฟุต ที่หลุม 17 พาร์ 4 และพัตต์เซฟพาร์ ระยะ 4 ฟุต หลุม 18 ท่ามกลางความกดดันมหาศาล

ขณะที่ 7 ผู้เล่น กำลังเพลย์ออฟ ชิงเหรียญทองแดง ได้แก่ พอล เคซีย์ (สหราชอาณาจักร), ฮิเดกิ มัตสึยามา (ญี่ปุ่น), รอรีย์ แม็คอิลรอย (ไอร์แลนด์), คอลลิน โมริคาว่า (สหรัฐอเมริกา), เซบาสเตียน มูญอซ (โคลอมเบีย), ซี.ที. แพน (ไต้หวัน) และ มิโต เปไรรา (ชิลี)

ปรากฏว่า ฮิเดกิ มัตสึยาม่า กับ พอล เคซีย์ เสียโบกี เพลย์ออฟหลุมแรก (18 พาร์ 4) ต่อมา แม็คอิลรอย, เปไรรา และ มูญอซ ทำได้เพียงพาร์ เพลย์ออฟหลุม 3 (11 พาร์ 4) เหลือ โมริคาวา กับ ซี.ที. แพน สู้กันต่อหลุมพิเศษที่ 4

กลับมาที่หลุม 18 พาร์ 4 โมริคาว่า แอพโพรชจากบังเกอร์ ตกนอกกรีน และพัตต์พาร์ระยะไกลพลาด ขณะที่ ซี.ที. แพน พัตต์พาร์ ระยะ 8 ฟุต คว้าเหรียญทองแดง

ส่วน "โปรแจ๊ส" อติวิชญ์ เจนวัฒนานนท์ ความหวังสูงสุดของไทย เก็บเพิ่ม 3 อันเดอร์พาร์ 68 รวม 9 อันเดอร์พาร์ 275 รั้งอันดับ 27 ร่วม และ กัญจน์ เจริญกุล มือ 281 ของโลก อยู่อันดับ 45 ร่วม สกอร์ 4 วัน 4 อันเดอร์พาร์ 280
#3816



แรงบันดาลใจในวัยเด็กที่เกิดขึ้นไม่ได้ถูกลบไป หรือละทิ้งความพยายามที่จะทำให้เกิดขึ้นได้ในชีวิตจริง สำหรับ สาวเก่งมากความสามารถ หนึ่งในนักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรง "หมอเจี๊ยบ-พญ.ศรินทิพย์ สุนทรัช" ผู้ก่อตั้งเดอะ โคลฟเวอร์ คลินิก (The Clover Clinic) กลับนำแรงบันดาลใจที่มีมาต่อยอดเป็นสิ่งที่ตนเองหลงใหล โดยเริ่มต้นจากคำว่า "อยากช่วยเหลือคนอื่นๆ" กับการเริ่มต้นธุรกิจความสวยความงามของตัวเอง แม้เป็นลูกสาวคนโตของบ้านจากพี่น้อง 3 คน แต่ที่ผ่านมาครอบครัวไม่ได้บังคับให้สานต่อธุรกิจที่บ้านเลย (ธุรกิจเซียงกง) ให้เลือกตามความชอบของตัวเอง ซึ่งก็รู้สึกว่าเลือกถูก เพราะอาชีพในปัจจุบันตรงกับจริต และมีความสุขในทุกวันที่ได้ออกไปทำงานดูแลคนไข้


หมอเจี๊ยบ-พญ.ศิริทิพย์ เรียนจบมัธยมปลายสายวิทย์-คณิตศาสตร์ จากโรงเรียนสายน้ำผึ้ง ในวัยเด็กคิดเสมอว่าอยากทำอะไร แต่ด้วยธุรกิจของครอบครัวเป็นเซียงกงคือ นำเข้าอะไหล่รถยนต์ญี่ปุ่นมาขาย จึงมองว่าไม่ได้เหมาะกับตัวเอง อีกทั้งตอนนั้นมีการพูดคุยกับคุณพ่อว่า ในครอบครัวมีผู้สูงอายุ ประกอบกับตัวเองชอบดูแลช่วยเหลือคนอื่นๆ จึงเป็นที่มาให้เลือกเรียนสายแพทย์ จึงศึกษาต่อคณะแพทยศาสตร์รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และหลังเรียนจบได้มีโอกาสไปศึกษาต่อด้านผิวหนังที่มหาวิทยาลัยเวลส์ รวมทั้งศึกษาต่อด้านผิวหนังและความงามที่มหาวิทยาลัยไมอามี และด้านชะลอวัย (Anti-aging) ได้รับ American board anti-aging medicine


"ตอนเรียนมหาวิทยาลัย เรียนแพทย์ทั่วไป 6 ปี จากนั้นไปเรียนต่อเฉพาะทาง Diploma Skin เพราะสนใจด้านผิวหนังและความงาม  สามารถวิเคราะห์ได้จากการมองเห็นตั้งเเต่แรกและตรวจเพิ่มเติม ส่วนเรื่องความงามเป็นคนที่ชอบเรื่องความสวยความงามอยู่แล้ว คิดว่ารักษาแบบนี้น่าจะดีกับคนไข้ ถึงแม้เป็นเพียงการแก้ไขรูปลักษณ์ภายนอก แต่เป็นการช่วยรักษาจิตใจ ซึ่งมีความสำคัญมากเพราะการทำให้คนไข้ มีความมั่นใจมีความสุขมากขึ้น ถึงแม้เป็นการรักษาแบบ Outside-In แต่ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นปัจจัยทั้งภายในและภายนอกกี่ยวข้องกันหมด เรารักษาผสมผสานทั้ง Inside-Out และ Outside-In พอดูแลคนไข้แบบองค์รวมทั้งหมด คนไข้มั่นใจมากขึ้น มีความสุขมากขึ้น เห็นตัวอย่างหลายๆ เคสไม่ใช่แค่ภายนอกดีขึ้นอย่างเดียว หลายอย่างเช่นความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ความมั่นใจ เรื่องการงาน ทุกอย่างดีขึ้นหมด ทำให้ชอบและรักที่จะทำงานนี้ และทำให้รู้ว่านี่คืองานที่เป็นตัวตนและตอบโจทย์ตัวเองมากที่สุด"

เส้นทางการทำงานของหมอเจี๊ยบ เริ่มต้นทันทีหลังเรียนจบกับเส้นทางความสวยความงาม โดย 8 ปีแรกทำที่คลินิกความงามทั่วไป ตอนนั้นรู้สึกว่าใช่ เพราะเวลารักษาคนไข้ ไม่ได้คิดว่าเป็นการรักษา แต่มองว่าเป็นการแนะนำเพื่อน มีการพูดคุยบางคนสนิทจนเป็นมิตรภาพยาวนาน ที่ยังคุยกันมาจนถึงปัจจุบัน เป็นความสัมพันธ์ที่ยาวนานที่ดีกับคนไข้ไปโดยปริยาย บางคนดูแลเขาตั้งแต่เป็นนักศึกษา จนปัจจุบันแต่งงานมีลูกไปแล้ว ก็เป็นการตอกย้ำความคิดของเราในวันที่เริ่มต้นว่า อยากดูแลทุกคนให้ชีวิตดีขึ้นเรื่อยๆ  รู้สึกภูมิใจและเป็นเกียรติที่อยู่ในหลายช่วงของชีวิตคนอื่น เป็นคนที่ช่วยทำให้คนที่เป็นทุกข์เพราะสิวเรื้อรังดีขึ้น ทำให้เจ้าสาวรู้สึกสวยที่สุดในวันแต่งงาน หรือเป็นส่วนที่ทำให้คนไข้ได้ดูแลตัวเองและรักตัวเอง และส่งพลังบวกไปยังคนรอบข้าง

สำหรับจุดเปลี่ยนที่มาเริ่มต้นทำคลินิกของตัวเอง หมอเจี๊ยบยอมรับว่าเพราะมองเห็นว่า อยากมอบประสบการณ์และทุกอย่างให้คนไข้ในแบบดีที่สุด อยากใช้อะไรที่เลือกมาแล้วว่าดีที่สุด อยากหลุดจากกรอบเดิมๆ ที่เคยทำมา อยากใช้ยาและเครื่องมือดีที่สุด และมอบบริการที่ดีและจริงใจเหมาะสมกับคนไข้แต่ละคน ถึงแม้ต้องซื้อเครื่องมือราคาแพงและลงทุนสูงแต่อยากเน้นสิ่งที่อยากทำเป็นหลัก เลยเป็นจุดเริ่มต้น The Clover สาขาแรกที่สุขุมวิท 26 ด้วยความที่อยากมีสถานที่ ที่ตอบโจทย์กลุ่มคนไข้ โดยเป็นย่านออฟฟิคมุ่งเน้นการที่ไม่มีเซลล์ขาย เพราะไม่อยากให้คนไข้รู้สึกอึดอัดและถูกยัดเยียด ลูกค้าทุกคนได้เจอกับคุณหมอโดยตรง ถึงแม้ว่าการขายแบบ hard sale อาจช่วยให้ยอดขายมากขึ้น แต่การทำคลินิกตามความชอบของตัวเอง คิดว่าตัวเองอยากใช้บริการคลินิกแบบไหน จึงอยากทำให้คนที่เข้ามาสบายใจ ที่สำคัญคือ ประทับใจและต้องกลับมาอีกครั้ง เลยยึดแนวทางนี้จนขยายสาขามาเรื่อยๆ และเติบโตขี้นจนถึงปัจจุบัน


การทำงานในฐานะลูกน้องและเจ้าของธุรกิจสาวไฟแรงอย่างหมอเจี๊ยบยึดหลัก ต้องจริงใจทั้งกับพนักงาน ที่มองว่าเหมือนครอบครัว เรียกได้ว่าพนักงานแทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ โดยเราต้อง Give&Take ให้คนอื่นก่อน และดูแลทุกคนให้ดีๆ เหมือนคนในครอบครัว ให้โอกาสเขาพัฒนาศักยภาพ เช่นเดียวกับคนไข้ เราต้องมีความจริงใจ พยายามใช้สิ่งที่ดีที่สุด และมีราคาที่สมเหตุสมผล คนไข้รับได้และเราอยู่ได้ เหมือนหลักการง่ายๆ คือ ความจริงใจ เวลาที่เราอยากคบใครยาวๆ มองว่า ต้องมีความจริงใจต่อกัน ก็จะสามารถมีความสัมพันธ์ที่ยืนยาว


ส่วนแนวคิดหลักในการดำเนินชีวิต คุณหมอคนสวยพยายามทำหน้าที่แต่ละวันให้ดีที่สุด ซึ่งมองว่ายังใช้ได้ตลอด โดยต้องตั้งเป้าหรือเซตความสำคัญในแต่ละวัน เพราะใน 1 วัน มีจำกัด ดังนั้นต้องตั้งความสำคัญกับเรื่องที่จะทำในแต่ละวัน และเริ่มต้นลงมือทำ โดยนอกเหนือจากงานประจำแล้ว ชอบเล่นโยคะเพราะช่วยฝึกสมาธิให้การทำงาน ทำให้จิตใจสงบ และเอาไว้มองตัวเอง รับรู้การเคลื่อนไหวของตัวเอง เล่นมาประมาณ 5-6 ปีแล้ว นอกจากนั้นงานอดิเรกที่ทำเพิ่มเติมจากงานบริหารคลินิกคือ การลงทุนต่างๆ เพื่อให้มี passive income สำหรับการต่อยอดในอนาคตอีกด้วย ซึ่งในอนาคตอยากขยายสาขา (ปัจจุบันมี 5 สาขา) เพื่อรองรับความต้องการของคนไข้  และรวมไปถึงเพิ่มแนวทางรักษาแบบแอนไท-เอจจิ้ง ให้มากขึ้น เนื่องจากจะเป็นสังคมผู้สูงอายุมากขึ้น ดังนั้นมีเรื่องของ Inside-Out ในแง่การดูแลสุขภาพ จะสามารถดูแลได้องค์รวมให้คนไข้มากยิ่งขึ้น

https:// www.dailynews.co.th/news/110745/
#3817



สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานเมื่อวันเสาร์ (31 ก.ค.) ว่า ทางการญี่ปุ่น เปิดเผยยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา อยู่ที่ 4,058 ราย ทะลุเกิน 4,000 รายเป็นครั้งแรก โดยยอดผู้ติดเชื้อดังกล่าว ตรวจพบหนึ่งวัน หลังรัฐบาลญี่ปุ่นประกาศขยายภาวะฉุกเฉินกรุงโตเกียว ออกไปจนถึงปลายเดือนสิงหาคม 2564 ซึ่งครบคลุม 3 จังหวัดใกล้กับกรุงโตเกียว และจังหวัดทางตะวันตกของโอซากา

ขณะที่ มาเลเซีย รายงานในวันเสาร์ พบผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่ 17,786 ราย โดยเป็นการติดเชื้อหลากหลายสายพันธุ์ที่เพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์

ท่ามกลางผู้ติดเชื้อที่สูงขึ้น มีประชาชนมากกว่า 100 คนรวมตัวกันในใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ แสดงความไม่พอใจรัฐบาลมาเลเซียจัดการกับโรคระบาดใหญ่ และเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีมูห์ยิดดิน ยัสซิน ยุติหน้าที่ผู้นำประเทศ

ส่วนประเทศไทย รายงานยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ 18,912 ราย ส่งผลให้จำนวนสะสมของประเทศอยู่ที่ 597,287 ราย และผู้เสียชีวิตเพิ่ม 178 ราย ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 4,857 ราย โดยทั้งผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตในแต่ละวันเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์


นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์สว่า ไวรัสสายพันธุ์เดลตามีสัดส่วนมากกว่า 60% ของกรณีตัวอย่างในประเทศ และ 80% ของกรณีตัวอย่างในกรุงเทพฯ 

"สายพันธุ์เดลตาไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิต มากกว่าโควิด-19 สายพันธุ์อื่นๆ แต่สายพันธุ์เดลตาแพร่เชื้อได้ง่ายกว่า" นายแพทย์ศุภกิจ ระบุ

ส่วนสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ในจีน กำลังรับมือกับสายพันธุ์เดลตาในเมืองหนานจิง สืบเนื่องจากพนักงานทำความสะอาดของสนามบินเมืองนี้ ติดเชื้อโควิดที่มีต้นตอจากเที่ยวบินของรัสเซีย โดยล่าสุด พบผู้ติดเชื้อโควิดในเมืองหนานจิงเพิ่มขึ้น 55 ราย

ดร.ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก (WHO) กล่าวในวันศุกร์ (30 ก.ค.) ว่า ยอดติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้น 80% ในพื้นที่ส่วนใหญ่ของโลก จากในช่วง 4 สัปดาห์ก่อนหน้านี้ 

https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/952160
#3818



ฝ่ายประชาสัมพันธ์กรมทางหลวง (ทล.) แจ้งว่า ตามที่ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม  มอบนโยบายด้านโครงสร้างพื้นฐานทางถนนให้ขยายทางหลวงหมายเลข 118 เชียงใหม่-เชียงราย เป็นถนนมาตรฐานขนาด 4 ช่องจราจร ไป-กลับ ตลอดเส้นทาง 158.473 กม. จากเดิมมีขนาด 2 ช่อง ไป-กลับ เพื่อเสริมสร้างโครงข่ายทางหลวงพื้นที่ภาคเหนือให้สมบูรณ์ 

ที่ผ่านมา ทล. ขยายทางหลวงสายดังกล่าวเป็น 4 ช่อง แล้วเสร็จ 48 กม. และได้ดำเนินโครงการก่อสร้างเป็น 4 ช่อง อีกระยะทาง 42.8 กม. ช่วง อ.ดอยสะเก็ด-ต.แม่ขะจาน ระหว่าง กม.20+200-กม.63+000 ซึ่งขณะนี้เหลือเพียง ตอน อ.ดอยสะเก็ด-ต.ป่าเมี่ยง ตอน 1 ระหว่าง กม.20+200-กม.31+700  ระยะทาง 11.5 กม. ขณะนี้มีความคืบหน้าไปแล้วกว่า 93% คาดว่าจะแล้วเสร็จเดือน ก.ย.นี้ จะทำให้เพิ่มระยะทางเป็น 4 ช่องรวม 91 กม. ทั้งนี้มีบางช่วงที่ดำเนินการแล้วเสร็จและเปิดให้ใช้บริการ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนผู้ใช้เส้นทางไปแล้ว 


ส่วนที่เหลืออีก 67.473 กม. ที่ยังเป็น 2 ช่องอยู่ และเป็นช่วงสุดท้ายโดยอยู่ในพื้นที่ ต.บ้านโป่ง-บรรจบทางหลวงหมายเลข 1 (พหลโยธิน) ระหว่าง กม.91+000 กม.158+473 เนื่องจากสภาพเส้นทางมีลักษณะคดเคี้ยว  เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง  จำเป็นต้องปรับปรุงให้เป็นทางหลวงขนาด 4 ช่องตลอดเส้นทาง เพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวก ปลอดภัยในการเดินทาง  ยกระดับความปลอดภัยด้านคมนาคมขนส่ง และรองรับปริมาณการจราจรและการขยายตัวทางเศรษฐกิจพื้นที่ภาคเหนือกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค และประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะภาคการขนส่งและการท่องเที่ยว 


ทั้งนี้ ทล. จึงเร่งดำเนินโครงการสำรวจและออกแบบทางหลวงหมายเลข 118 (สายเชียงใหม่-เชียงราย) แบ่งเป็น 2 ตอน คือ 1.ตอน บ.แม่เจดีย์-อ.แม่สรวย 50 กม. อยู่ระหว่างการเก็บข้อมูลสำรวจผลกระทบสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ เพื่อศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) และจัดทำรายงาน EIA เสนอสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) หากผ่านการพิจารณาแล้วโครงการจะมีความพร้อมเพื่อเสนอของบประมาณดำเนินการก่อสร้าง คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ประมาณ ปี 67 แล้วเสร็จปี 69 


และ 2.ตอน อ.แม่สรวย-แยกจุดตัดทางหลวงหมายเลข 1 จ.เชียงราย 17.473 กม. กำลังเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณจากแหล่งเงินกู้ (เพิ่มเติม) อยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ และหากได้รับงบประมาณจะเร่งรัดให้แล้วเสร็จโดยเร็วต่อไป  โดยใช้งบประมาณโครงการ  2,000 ล้านบาท  คาดว่าเริ่มดำเนินการได้ประมาณปี 65 แล้วเสร็จปี 67 

สำหรับโครงการ ตอน อ.แม่สรวย-แยกจุดตัดทางหลวงหมายเลข 1 จ.เชียงราย มีจุดเริ่มต้นบริเวณ กม.141+000 ท้องที่ ต.แม่สรวย สิ้นสุดที่จุดตัดทางหลวงหมายเลข 1 (ถนนพหลโยธินบริเวณ กม.910+123) ที่ กม.158+473 ต.ดงมะดะ ครอบคลุมพื้นที่ 2 อำเภอ ได้แก่ อ.แม่สรวย  อ.แม่ลาว และ  3 ตำบล ได้แก่ ต.แม่สรวย ต.ดงมะดะ ต.จอมหมอกแก้ว รูปแบบการก่อสร้างเป็นถนนคอนกรีตขนาด  4 ช่อง ความกว้างช่องจราจรละ 3.50 เมตร ไหล่ทางกว้างข้างละ 2.50 เมตร แบ่งทิศทางการจราจรด้วยแบริเออร์คอนกรีตกว้าง 1.60 เมตร  


มีรูปแบบทางแยก 4 จุดตัด ดังนี้ 1.จุดตัดทางหลวงชนบทหมายเลข ชร.2113 (กม.146+994) ออกแบบเส้นทางสายหลักทางหลวงหมายเลข 118 เป็นสะพานยกระดับ ลดการตัดกระแสของการจราจรบริเวณทางแยกและมีการจัดการทางแยกระดับพื้นดินในลักษณะวงเวียน ออกแบบทางขนานเพื่อแยกการจราจรระหว่างการเดินทางในพื้นที่กับถนนสายหลัก และกำหนดจุดกลับรถใต้สะพานสำหรับความสูงไม่เกิน 5.50 เมตร 2.จุดตัดทางหลวงหมายเลข 1211 (กม.154+647) ออกแบบเส้นทางสายหลักทางหลวงหมายเลข 118 เป็นสะพานยกระดับ ลดการตัดกระแสของจราจรบริเวณทางแยกและมีการจัดการทางแยกระดับพื้นดินในลักษณะวงเวียน ออกแบบทางขนานเพื่อแยกการจราจรระหว่างการเดินทางในพื้นที่กับถนนสายหลัก และกำหนดจุดกลับรถใต้สะพานสำหรับความสูงไม่เกิน 5.50 เมตร 


3.จุดตัดถนนเลียบคลองชลประทาน (กม.156+500) โดยรื้อสะพานข้ามคลองชลประทาน บนเส้นทางสายหลักทางหลวงหมายเลข 118 ในปัจจุบันออก เพื่อออกแบบเป็นสะพานยกระดับข้ามคลองชลประทาน โดยออกแบบทางขนานเพื่อเชื่อมต่อการเดินทางในพื้นที่ และแยกกระแสจราจรของรถที่ใช้ความเร็วออกจากกันเพื่อความปลอดภัยบริเวณใต้สะพานออกแบบจัดการจราจรเป็นระบบวงเวียนของถนนเลียบคลองชลประทานทั้ง 2 ฝั่ง และกำหนดจุดกลับรถใต้สะพานสำหรับความสูงไม่เกิน 4.50 เมตร 


และ 4.จุดตัดถนนทางหลวงหมายเลข 1 ที่ กม.158+473 แนวเส้นทางตัดกับทางหลวงหมายเลข 1  ที่ กม.910+123 และเป็นจุดสิ้นสุดของโครงการ  สภาพพื้นที่ในปัจจุบันเป็น 3 แยกสัญญาณไฟแบบ channelize แต่เนื่องจากเป็นทางแยกหลักที่เชื่อมโยงระหว่าง 3 จังหวัด ได้แก่ จ.เชียงราย เชียงใหม่ และพะเยา ซึ่งปริมาณจราจรที่ผ่านจุดตัดนี้มีปริมาณเพิ่มขึ้นทุกปี ทำให้จำเป็นต้องพิจารณาออกแบบปรับปรุง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของทางแยกให้มีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น 

โดยออกแบบทางยกระดับข้ามทางแยก 1 ทิศทาง บนทางหลวงหมายเลข 1 ฝั่งมุ่งหน้าจาก จ.พะเยา ไปตัวเมืองเชียงราย พร้อมทางขนานทางยกระดับ ทิศทางมุ่งหน้าจากตัวเมืองเชียงรายไป จ.พะเยา จะขยายถนนระดับพื้นดิน จากเดิม 2 ช่อง เป็น 4 ช่อง โดยออกแบบเกาะกลางรูปปีกนกสำหรับแบ่งรถในทิศทางตรงให้สามารถผ่านทางแยกได้คล่องตัว ไม่ต้องติดสัญญาณไฟจราจร ส่วนทิศทางเลี้ยวขวาเข้า-ออก จากทางหลวงหมายเลข 118 จะถูกควบคุมด้วยสัญญาณไฟจราจร ทำให้ลดการตัดกระแสจราจรบริเวณทางแยกและทำให้การจราจรบนทางหลวงหมายเลข 1 เกิดความคล่องตัว  


เมื่อโครงการดังกล่าวแล้วเสร็จจะช่วยเติมเต็มโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งทางหลวงหมายเลข 118 ให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ช่วยลดอุบัติเหตุ ช่วยเพิ่มขีดความสามารถรองรับปริมาณการจราจรที่มากขึ้นจากเดิม 1-1.8 หมื่นคันต่อวัน เป็น 3 หมื่นคันต่อวัน ช่วยลดระยะเวลาการเดินทางระหว่าง จ.เชียงใหม่ และ จ.เชียงราย จากเดิมที่ใช้เวลาประมาณ 4 ชม. ลดลงเหลือ 3 ชม. ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชนให้สะดวกรวดเร็ว ช่วยส่งเสริมด้านเศรษฐกิจการค้า การท่องเที่ยว จ.เชียงราย และเกิดโครงข่ายคมนาคมขนส่งในพื้นที่ภาคเหนือไปยังประเทศเพื่อนบ้าน
#3819



"โรคไขมันในเลือดสูง" เป็นโรคหนึ่งที่นำไปสู่โรคร้ายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคหลอดเลือดสมองอุดตันเกิดอัมพฤกษ์อัมพาต และโรคหลอดเลือดหัวใจ เนื่องจากการมีไขมันสะสมตามผนังหลอดเลือด ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดจนไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ได้ตามปกติ จึงเป็นอีกโรคที่ควรรู้จัก เพื่อจะได้หาทางป้องกันและดูแลตนเองตั้งแต่เนิ่นๆ

โรคไขมันในเลือดผิดปกติ คืออะไร

ตามปกติในการตรวจเลือดจะมีการวัดระดับไขมันหลักๆ 4 ตัว คือ คอเลสเตอรอลรวม (Total Cholesterol) ไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride) ไลโปโปรตีนที่มีความหนาแน่นตํ่า หรือไขมันเลว (Low Density Lipoprotein : LDL) และไลโปโปรตีนที่มีความหนาแน่นสูง หรือไขมันดี (High Density Lipoprotein : HDL)

การที่จะได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ คนคนนั้นจะต้องมีระดับคอเลสเตอรอลรวมมากกว่า 200 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร หรือมีระดับไตรกลีเซอไรด์มากกว่า 150 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร หรือมีระดับไขมันเลว (LDL) มากกว่า 130 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร หรือมีระดับไขมันดี (HDL) น้อยกว่า 50 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร แต่การพิจารณาการให้ยาลดไขมันนั้น แพทย์มักจะตัดสินจากระดับไขมัน LDL รวมถึงระดับไตรกลีเซอไรด์มากกว่าระดับคอเลสเตอรอลรวม


นอกจากนี้ ในคนไข้ที่มีปัจจัยเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ เช่น คนไข้โรคเบาหวาน คนที่มีประวัติเป็นโรคหลอดเลือดสมอง หรือหลอดเลือดหัวใจตีบมาก่อน ควรรักษาระดับไขมันเลว (LDL) ให้น้อยกว่า 100 ลงไปอีก จึงจะป้องกันการเกิดซ้ำของโรคได้

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงหลักของการเป็นโรคไขมันในเลือดสูง คือ กรรมพันธุ์และอาหาร ส่วนน้อยอาจเกิดจากโรคประจำตัว เช่น ภาวะอ้วน การขาดฮอร์โมนไทรอยด์ เบาหวาน เป็นต้น

อาหารที่มีผลให้คอเลสเตอรอลในเลือดสูง เช่น เนื้อสัตว์แดงติดมัน เครื่องในและไขมันจากสัตว์ อาหารที่ใช้น้ำมันผัด ของทอดต่างๆ ปลาหมึก หอยนางรม รวมทั้งอาหารที่มีไขมันทรานส์ซึ่งอยู่ในมาการีน หรือเนยเทียมที่ใช้ในการทำเบเกอรี่ และอาหารฟาสต์ฟู้ดต่างๆ เช่น โดนัท พิซซ่า เฟรนช์ฟราย เป็นต้น

ส่วนปัจจัยที่ทำให้ระดับไตรกลีเซอไรด์สูง คือ การกินอาหารที่มีแป้งและน้ำตาลปริมาณมากๆ เช่น เครื่องดื่มบรรจุขวดต่างๆ น้ำอัดลม เครื่องดื่มที่ใส่น้ำตาลฟรุกโตส รวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วย


นอกจากนี้ หากพบว่ามีกรรมพันธุ์ในเรื่องของไขมันในเลือดสูงก็จะยากที่จะลดด้วยการคุมอาหารเพียงอย่างเดียว จำเป็นต้องกินยาช่วย เพราะระดับไขมันจะสูงมาก จนสามารถทำให้เกิดหลอดเลือดอุดตันได้ตั้งแต่คนไข้อายุยังน้อย

อาการ

โรคไขมันในเลือดสูง เป็นภัยเงียบที่ในระยะแรกไม่มีอาการ หากไม่ได้ตรวจเลือด ก็จะไม่ทราบเลยว่ามีระดับไขมันในเลือดสูง ซึ่งถ้าปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา สุดท้ายจะมีอาการที่เกิดจากหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมองอุดตันในที่สุด แต่ในผู้ป่วยที่มีระดับไตรกลีเซอไรด์สูงมาก คือ เกิน 500 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร อาจก่อให้เกิดอาการตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน ซึ่งเป็นภาวะที่อันตราย โดยคนไข้จะมาด้วยอาการปวดท้องรุนแรงบริเวณใต้ลิ้นปี่ทะลุไปด้านหลัง ร่วมกับมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ซึ่งเป็นภาวะเร่งด่วนที่ต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาลทันที

การวินิจฉัย

วินิจฉัยโดยดูจากผลเลือด โดยก่อนเจาะเลือดควรงดน้ำและอาหาร อย่างน้อย 8-12 ชั่วโมง เพื่อให้ได้ผลเลือดที่ถูกต้อง

อันตรายและภาวะแทรกซ้อน

การที่ร่างกายมีระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ที่สูงกว่าปกติ จะส่งผลให้มีไขมันไปเกาะตามผนังของหลอดเลือด ทำให้เลือดที่ส่งไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ น้อยลง โดยเฉพาะหัวใจและสมอง ซึ่งไขมันนี้จะค่อยๆ ก่อตัวและหนาขึ้นเรื่อยๆ ใช้เวลาหลายปีกว่าจะแสดงอาการให้เห็น ซึ่งหากไม่ได้รับการตรวจเลือดประจำปี ก็จะไม่รู้ว่ามีไขมันในเลือดสูง ดังนั้นในผู้ใหญ่ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี จึงควรได้รับการตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อเช็กระดับไขมันในเลือดของตนเอง หากพบว่าสูง จะได้เข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที


การรักษาและการป้องกัน

การรักษาหลัก คือ การใช้ยาลดไขมัน เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดสมอง และโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โดยแพทย์จะพิจารณาเลือกชนิดและขนาดของยา ตามระดับความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดตีบในคนไข้แต่ละราย นอกจากนี้คนไข้จะต้องดูแลตนเอง โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน กล่าวคือ หลีกเลี่ยงอาหารที่ใช้น้ำมันผัดทอด เปลี่ยนไปกินอาหารต้ม นึ่ง ย่าง ตุ๋นแทน หลีกเลี่ยงการกินเนื้อสัตว์แดงติดมัน รวมทั้งไขมันอิ่มตัว เปลี่ยนเป็นกินอาหารที่มีไขมันต่ำ เช่น เนื้อปลา ไม่กินอาหารที่มีส่วนผสมของไขมันทรานส์ ลดเครื่องดื่มรสหวานทุกชนิด ลดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ งดกินอาหารแช่แข็ง อาหารฟาสต์ฟู้ด อาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูงอย่างปลาหมึก ไข่ปลาหมึก หอยนางรม เป็นต้น

นอกจากการกินที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษแล้ว ยังจะต้องหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์ อย่างน้อยวันละ 20-30 นาที และตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อเช็กระดับไขมันในเลือดของตนเองว่าสูงหรือไม่ โดยเฉพาะคนที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคนี้ ควรตรวจตั้งแต่อายุ 20 ปี เพื่อจะได้เตรียมการรักษาได้ทันท่วงที การเลิกสูบบุหรี่ การควบคุมอาหาร และลดน้ำหนักในคนที่มีน้ำหนักตัวเกิน สามารถช่วยลดไขมันคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ได้ รวมทั้งช่วยเพิ่มไขมันตัวดีได้อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม หากเรากินอาหารประเภทไขมันให้อยู่ในระดับที่พอเหมาะ รักษาระดับน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ก็จะเป็นอีกทางหนึ่งที่ทำให้ห่างไกลจากภาวะไขมันในเลือดสูงได้

@@@@@@@@@@@@@@

แหล่งข้อมูล

ผศ.พญ.แสงศุลี ธรรมไกรสร ภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัว คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
#3820



ว่านหางจระเข้ เป็นสมุนไพรใกล้บ้านที่คนไทยคุ้นเคยกันดี มีสรรพคุณมากมาย ถูกนำใช้ในการทำยารักษาโรคต่างๆ ทำให้ได้รับการขนานนามว่า "สมุนไพรมหัศจรรย์" อีกทั้งยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพและความงาม เรียกได้ว่าเป็นคุณค่าจากธรรมชาติแบบไม่ต้องพึ่งสารเคมี


ว่านหางจระเข้ ทำอะไรได้บ้าง? คนส่วนใหญ่มักใช้ว่านหางจระเข้รักษาแผลถูกน้ำร้อนลวก เนื่องจากในพืชชนิดนี้มีสารโพลียูโรไนด์ และโพลีแซคคาไรด์ ที่ช่วยทำให้แผลหายไวขึ้น ซึ่งสรรพคุณของว่านหางจระเข้ยังสามารถใช้รักษาโรคต่างๆ และฤทธิ์เย็นจากเนื้อวุ้นยังช่วยบรรเทาอาการที่เกี่ยวข้องกับผิวหนังได้อีกด้วย สำหรับสรรพคุณอื่นๆ ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน มีดังนี้

1. วุ้นของว่านหางจระเข้สามารถใช้สมานแผล และห้ามเลือดได้ ทำให้แผลหายไว

2. ใช้รักษาอาการติดเชื้อ อักเสบ และกระตุ้นเซลล์เนื้อเยื่อต่างๆ ให้เติบโต

3. ใช้รักษาแผลที่เกิดจากความร้อน เช่น ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก และการฉายรังสี 


4. ใช้แก้พิษแมงกะพรุน ช่วยบรรเทาอาการแสบร้อนจากพิษ

5. มีสรรพคุณทางยาในการช่วยประสานกระดูก และช่วยบำรุงข้อกระดูก

6. นำมาปอกเปลือก ล้างเมือกออก ต้มน้ำใช้เป็นยาระบาย ยาแก้ไอ และยาแก้เจ็บคอ

7. นำมาทำเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ สำหรับควบคุมระดับน้ำตาลของผู้ป่วยเบาหวาน

8. เนื้อว่านหางจระเข้บรรเทาอาการปวดฟันได้ ตัดเป็นชิ้นเล็กๆ เหน็บตามซอกฟัน 

9. รักษาอาการผิวไหม้แสบร้อนจากแสงแดด และใช้ทารักษาฝ้าบนใบหน้าได้ด้วย

10. ตัดเนื้อวุ้นเป็นแท่งเล็กๆ นำไปแช่เย็น แล้วเหน็บทวารหนัก ช่วยรักษาริดสีดวงทวารได้


ว่านหางจระเข้ ทาหน้า
หากใครมีปัญหาผิวหน้า ไม่ว่าจะเป็นหน้าแห้ง หรือหน้ามัน ให้นำวุ้นว่านหางจระเข้ไปล้างให้สะอาด หลังจากนั้นนำมาทาใบหน้าก่อนนอน นวดเบาๆ ทำเป็นประจำสัก 1 เดือน ผิวหน้าจะนุ่มชุ่มชื้น ไม่หยาบกร้าน

ว่านหางจระเข้ รักษาสิว
นำวุ้นว่านหางจระเข้มาล้างให้สะอาด และนำไปปั่นจนละเอียดก็จะได้สมุนไพรมาสก์หน้าจากธรรมชาติ ทาบางๆ ทั่วใบหน้า ส่วนใครที่เป็นสิว ให้ใช้วุ้นว่านหางจระเข้แต้มหัวสิวก่อนนอน เพื่อลดอาการอักเสบ

ว่านหางจระเข้ หมักผม
ปัญหาผมแห้งสามารถแก้ได้ ด้วยการหมักผมที่มีส่วนผสมจากว่านหางจระเข้ ให้นำวุ้นไปล้างให้สะอาด และปั่นกับน้ำเปล่า ในอัตรา 1:1 หลังจากนั้นนำไปกรอง เพื่อนำน้ำที่ได้ไปหมักโคนผมประมาณ 15 นาที นวดเบาๆ ทั่วศีรษะ แล้วล้างออกให้สะอาด


หากใครไม่สะดวกที่จะหาว่านหางจระเข้มาใช้บำรุงผิว หรือเส้นผม ปัจจุบันนี้มีการผลิต "เจลว่านหางจระเข้" ที่หาซื้อง่าย ใช้สะดวก ซึ่งสามารถนำมาใช้ทดแทนได้เช่นกัน 

ที่มา : โรงพยาบาลรามาธิบดี