• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Chigaru

#3901


ทำเนียบขาวในวันพฤหัสบดี(5ส.ค.) ยืนยันอาจกำหนดให้ชาวต่างชาติเกือบทุกคนที่จะเดินทางเข้าสหรัฐฯ ต้องฉีดวัคซีนโควิด-19 ครบเสียก่อน ส่วนหนึ่งในแผนกลับมาเปิดการเดินทางระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตามยังไม่มีการตัดสินใจในเรื่องดังกล่าวและยังไม่มีการยกเลิกข้อจำกัดต่างๆในทันที

เจฟ ไซนส์ ผู้ประสานงานคณะทำงานเฉพาะกิจโควิด-19 ของทำเนียบขาว ยืนยันว่ากลุ่มทำงานระหว่างหน่วยงาน กำลังคิดแผนที่อาจออกข้อบังคับบางรูปแบบสำหรับกำหนดให้ชาวต่างชาติเกือบทุกคนที่จะเดินทางเข้าสหรัฐฯ ต้องฉีดวัคซีนโควิด-19 ครบเสียก่อน

"เราจะพร้อมเมื่อถึงเวลาที่ต้องพิจารณาเปิดพรมแดน" ไซนส์ กล่าวระหว่างแถลงสรุปสถานการณ์โควิด-19 ที่ทำเนียบขาว

รายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์ระบุว่า เวลานี้รัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้จัดตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อทบทวนและนำระบบใหม่นี้มาใช้ทันทีที่พร้อมจะเปิดรับชาวต่างชาติอีกครั้ง ภายใต้เงื่อนไขว่าชาวต่างชาติจากทุกประเทศที่จะเดินทางเข้าสหรัฐฯ จะต้องได้รับวัคซีนครบแล้ว

ในถ้อยแถลงแยกกัน เจน ซากี โฆษกทำเนียบขาวยอมรับว่ามีความไม่สอดคล้องกันในข้อจำกัดต่างๆในปัจจุบันที่ห้ามนักเดินทางจากบางประเทศที่มีอัตราการติดเชื้อโควิด-19 ในระดับต่ำเดินทางเข้าสหรัฐฯ แต่กลับไม่ห้ามนักเดินทางจากประเทศอื่นๆที่มีอัตราการติดเชื้อในระดับสูง

อย่างไรก็ตามเธอเน้นว่ายังไม่เป็นที่แน่นอนว่าสหรัฐฯจะบังคับนักเดินทางจากต่างชาติฉีดวัคซีนโควิด-19 ครบเสียก่อนหรือไม่

ทำเนียบขาวระบุในวันพฤหัสบดี(5ส.ค.) ว่ายังไม่พร้อมยกเลิกข้อจำกัดต่างๆในทันที เพราะว่าเคสผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นและการแพร่ระบาดของตัวกลายพันธุ์เดลตาที่แพร่เชื้อได้ง่ายมาก

รัฐบาลอเมริกันเริ่มจำกัดการเดินทางของชาวต่างชาติที่จะเข้ามายังสหรัฐฯ โดยเริ่มจากประเทศจีนในเดือนมกราคม 2020 เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ก่อนที่จะเพิ่มรายชื่อประเทศต่างๆ ที่มีการระบาดในระดับสูงในประเทศนั้นๆ โดยล่าสุดได้แก่อินเดีย

ทำเนียบขาวได้หารือกับสายการบินต่างๆและอื่นๆว่าจะสามารถบังคับใช้กฎเกณฑ์ใหม่นี้ได้อย่างไร ขณะเดียวกันรัฐบาลก็ต้องพิจารณาว่าจะยอมรับหลักฐานหรือเอกสารรับรองการฉีดวัคซีนแบบไหน และจะยอมรับวัคซีนโควิดที่บางประเทศใช้หรือไม่ ขณะที่มันยังไม่ผ่านการรับรองของคณะผู้ควบคุมกฎระเบียบของสหรัฐฯ

ปัจจุบันสหรัฐฯห้ามนักเดินทางที่ไม่ใช่พลเมืองสหรัฐฯเกือบทุกคนที่อยู่ในสหราชอาณาจักร กลุ่มประเทศเชงเก้น 26 ชาติในยุุโรป ไอร์แลนด์ จีน อินเดีย แอฟริกาใต้ อิหร่านและบราซิล ในช่วง 14 วันหลังสุดเดินทางเข้าประเทศ

ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าแผนดังกล่าวจะบังคับใช้กับชาวต่างชาติที่เดินทางทางบกผ่านพรมแดนที่ติดกับแคนาดาและเม็กซิโกด้วยเงื่อนไขเดียวกันหรือไม่

เจ้าหน้าที่ด้านอุตสาหกรรมการบินระบุว่าอาจต้องใช้เวลาอีกหลายสัปดาห์หรือบางทีอาจหลายเดือน ก่อนข้อจำกัดด้านการเดินทางจะถูกยกเลิก ขณะที่ฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์บางส่วนระบุว่ามันไม่สมเหตุสมผล เพราะว่าบางประเทศที่มีอัตราการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในระดับสูง ไม่ได้อยู่ในรายชื่อประเทศที่จำกัดด้านการเดินทาง ขณะที่บางประเทศที่สามารถควบคุมโรคระบาดใหญ่ได้แล้วกลับมีรายชื่ออยู่ในบัญชีดังกล่าว

(ที่มา:รอยเตอร์)
#3902


นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ กรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยว่า บริษัทฯ ขอแจ้งให้ทราบว่า ในวันที่ 5 ส.ค.2564 บริษัทฯ ในฐานะผู้ทำคำเสนอซื้อในการเข้าทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ที่เหลือทั้งหมดของ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH ได้ยื่นแบบรายงานผลการซื้อหลักทรัพย์ของ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (แบบ 256-2) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แล้ว

ตามที่ บริษัทฯ ได้ทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์โดยสมัครใจแบบมีเงื่อนไขก่อนการทำคำเสนอซื้อ (Conditional Voluntary Tender Offer) ของ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) จำนวน 2,599,720,233 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 81.07 ของหุ้นที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของกิจการ และคิดเป็น 81.07% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ (ไม่รวมหุ้นสามัญของกิจการที่ผู้ทำคำเสนอซื้อถืออยู่เป็นจำนวน 606,878,314 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 18.93% ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของกิจการ) โดยมีกำหนดระยะเวลาการรับซื้อทั้งสิ้น 25 วันทำการ ตั้งแต่วันที่ 29 มิ.ย. - 4 ส.ค.2564 นั้น

เพื่อให้เป็นไปตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทจ. 12/2554 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการ ลงวันที่ 13 พ.ค.2554 (รวมทั้งที่ได้แก้ไขเพิ่มเติม) ผู้ทำคำเสนอซื้อขอนำส่งแบบรายงานผลการซื้อหลักทรัพย์ของกิจการ (แบบ 256-2) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อทราบและเป็นข้อมูลที่เกี่ยวกับการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ของกิจการในครั้งนี้

โดยหุ้นที่บริษัทฯ ถืออยู่ก่อนทำคำเสนอซื้ออยู่ที่ 606,878,314 หุ้น หรือ 18.93% หุ้นที่เสนอซื้อ 2,599,720,233 หุ้น หรือ 81.07% ส่วนหุ้นที่มีผู้แสดงเจตนาขายอยู่ที่ 747,874,638 หุ้น หรือ 23.32% ส่งผลให้หุ้นที่รับซื้อไว้อยู่ที่ 747,874,638 หุ้น หรือ 23.32% ดังนั้น จำนวนหลักทรัพย์ที่บริษัทฯ จะถือภายหลังการรับซื้อจะอยู่ที่ 1,354,752,952 หุ้น หรือ 42.25%

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ข้อมูลผู้ถือหุ้นใหญ่ INTUCH ณ วันที่ 23 ก.พ.2564 ได้แก่ 

1. SINGTEL GLOBAL INVESTMENT PTE. LTD. 673,348,264 หุ้น 21.00%

2. บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) 505,918,114 หุ้น 15.78%

3. บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด 463,009,866 หุ้น 14.44%

4. THE HONGKONG AND SHANGHAI BANKING CORPORATION LIMITED 166,753,460 หุ้น 5.20%

5. SOUTH EAST ASIA UK (TYPE C) NOMINEES LIMITED 45,803,886 หุ้น 1.43%

6. สำนักงานประกันสังคม 43,645,100 หุ้น 1.36%

7. STATE STREET EUROPE LIMITED 33,219,794 หุ้น 1.04%

8. THE BANK OF NEW YORK MELLON 31,611,600 หุ้น 0.99%

9. นาย เพิ่มศักดิ์ เก่งมานะ 31,023,100 หุ้น 0.97%

10. GIC PRIVATE LIMITED 21,620,700 หุ้น 0.67%

ส่งผลให้ภายหลังเทนเดอร์ GULF จะขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นเบอร์ 1 ของ INTUCH
#3903


นีเลช เจน รองประธานประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดีย เทรนด์ไมโคร กล่าวว่า การระบาดของโควิด-19 ทำให้รูปแบบการทำงานภายในองค์กรเปลี่ยนไปสู่การทำงานจากระยะไกล ซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านการรักษาความปลอดภัยเนื่องจากมีผู้คุกคามจำนวนมากขึ้นที่พยายามฉวยโอกาสจากภาวะการณ์ที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19

เทรนด์ไมโครพบว่า ระบบนิเวศที่ทั้งแพลตฟอร์มและบริการต่างๆ ต้องทำงานร่วมกัน ทำให้รูปแบบการจัดการและการป้องกันไม่เพียงพออีกต่อไป เนื่องจากนับตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของวิกฤติเป็นต้นมา พบการเพิ่มขึ้นจำนวนมากของอีเมลต้มตุ๋น สแปม และการล่อลวงแบบฟิชชิ่งที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 และแน่นอนว่าอาชญากรไซเบอร์ยังคงมุ่งที่จะฉวยโอกาสและออกแคมเปญที่ใช้โคโรน่าไวรัสเป็นธีมหลักในการโจมตี


'เฮลธ์แคร์' เป้าหมายโจรไซเบอร์

เขากล่าวว่า ปีนี้องค์กรธุรกิจต้องต่อสู้เพื่อการดำเนินงานที่ปลอดภัย และจากนี้โควิด-19 จะยังคงสร้างความท้าทายด้านการรักษาความปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นการค้าบนอีคอมเมิร์ซ ซึ่งอาชญากรจะพยายามบุกเข้าไปในระบบโลจิสติกส์ โดยกรณีที่เกิดขึ้นได้เช่น การก่อวินาศกรรมการผลิต การลักลอบขนส่ง (trafficking) และการขนส่งสินค้าลอกเลียนแบบจะกลายเป็นแนวทางปฏิบัติที่เกิดขึ้นท่ามกลางการระบาดใหญ่

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "อุตสาหกรรมเฮลธ์แคร์" จะยิ่งกลายเป็นที่จับตามองมากขึ้น เนื่องจากแพทย์จำนวนมากหันไปใช้ระบบการรักษาทางไกล (telemedicine) และการให้บริการทางการแพทย์ทวีความสำคัญมากขึ้น 

"ความปลอดภัยด้านไอทีสำหรับระบบเฮลธ์แคร์จะถูกทดสอบ ทีมรักษาความปลอดภัยไม่เพียงต้องจัดการกับความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลผู้ป่วยและการโจมตีของมัลแวร์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงความเป็นไปได้ของการจารกรรมทางการแพทย์"

ปิยธิดา ตันตระกูล ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท เทรนด์ไมโคร (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า โควิด-19 เป็นตัวกระตุ้นและเร่งการเกิดกระบวนการปฏิรูปทางดิจิทัลอย่างกว้างขวางทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ และอุตสาหกรรม และเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบในการใช้เทคโนโลยีก็จะทำให้รูปแบบและภูมิทัศน์ของภัยคุกคามเปลี่ยนแปลงตามไปด้วยเช่นกัน

เทรนด์ไมโครพบว่ามี 4 เรื่องที่น่าสนใจและเป็นจุดที่สามารถนำไปสู่อาชญากรรมบนไซเบอร์ หรือภัยคุกคามต่อการรักษาความปลอดภัยบนไซเบอร์ในปัจจุบันได้ นั่นคือ การเวิร์คฟรอมโฮม, การใช้งานฟู้ดดิลิเวอร์รี แมสเซจจิ้งแอพพลิเคชั่น ตลอดจนข่าวสารข้อมูลที่ออกมาจากภาคส่วนต่างๆ ก็กลายเป็นความท้าทายใหม่ๆ สำหรับการรักษาความปลอดภัย

ปี 2563 เทรนด์ไมโครดำเนินการบล็อคภัยคุกคามที่เกิดขึ้นทั่วโลกเป็นจำนวน 62.6 พันล้านครั้ง หรือคิดเป็นตัวเลขประมาณ 119,000 ต่อนาที โดยข้อมูลที่ชี้ให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า 91% ของภัยคุกคามเกิดจากอีเมล, การโจมตีบนเครือข่ายภายในบ้านเพิ่มขึ้นถึง 210% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

ขณะที่ รูปแบบของการโจมตีและเรียกค่าไถ่บนไซเบอร์ที่เรียกว่าแรนซัมแวร์มีการเปลี่ยนแปลงและมีรูปแบบการโจมตีตามสายพันธุ์ เพิ่มขึ้นถึง 34 % โดยท็อป 10 ของอุตสาหกรรมที่เป็นเป้าหมายการโจมตี ได้แก่ ภาครัฐบาล ธนาคาร อุตสาหกรรมการผลิต เฮลธ์แคร์ การเงิน การศึกษา เทคโนโลยี อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ และประกันภัย ตามลำดับ

สำหรับเทรนด์ไมโคร มุ่งนำเสนอเกราะป้องกันภัยคุกคามไซเบอร์เชิงรุก ด้วยเพลตฟอร์ม "Vision One" ที่ช่วยขยายการตรวจจับและการตอบสนองแบบเรียลไทม์ เพิ่มประสิทธิภาพการรักษาความปลอดภัย ตลอดจนใสนับสนุนเทคโนโลยีเพื่อการทำงานให้ได้ประสิทธิผลยิ่งขึ้น ที่สำคัญช่วยลดต้นทุนการดำเนินงาน

ปัจจุบัน ประเทศไทยเป็นตลาดระดับท็อป 3 ในภูมิภาคอาเซียนของเทรนด์ไมโคร ซึ่งจากนี้จะยังคงให้ความสำคัญและเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง ครึ่งปีแรกตลาดประเทศไทยเติบโต 15.5% เฉพาะซอฟต์แวร์แอสอะเซอร์วิสเติบโต 623.4%, คลาวด์ซิเคียวริตี้(Cloud One) เติบโต 555.9%
#3904
 
 
 
 


Kato Academy [Marketing Media Prodction]
สอนการตลาดออนไลน์ สอนยิงโฆษณา Facebook Ads ตัวต่อตัว, Line OA, Chatbot, Website Salepage, Pixel Code, ยิงแอด Conversion
สอนผลิตสื่อโฆษณา สอนถ่ายรูป ตกแต่งรูป สอน Photoshopตัวต่อตัว , Lightroom, Illustrator, โปรแกรมตัดต่อวีดีโอ PremiereKato Academy [Marketing Media Prodction]
สอนการตลาดออนไลน์ สอนยิงโฆษณา Facebook Ads ตัวต่อตัว, Line OA, Chatbot, Website Salepage, Pixel Code, ยิงแอด Conversion
สอนผลิตสื่อโฆษณา สอนถ่ายรูป ตกแต่งรูป สอน Photoshopตัวต่อตัว , Lightroom, Illustrator, โปรแกรมตัดต่อวีดีโอ Premiere

หลักสูตร สอนเฟสบุ๊ค ตัวต่อตัว/กลุ่ม [พื้นฐาน-ขั้นสูง] [10.00-16.00น.] ไม่เป็นไม่กลับ
- สอนพื้นฐานของเฟสบุ๊ค และการตั้งค่าต่างๆที่ควรรู้ ก่อนทำธุรกิจ
- สอนสร้างเพจเฟสบุ๊คยังไงให้น่าโดนใจกลุ่มเป้าหมาย
- สอนเช็คข้อความและรูปภาพใน Facebook ลดปัญหาการทำงานที่เสียเวลา
- รู้ทันกับกฎระเบียบต่างๆในการสร้างโฆษณาเฟสบุ๊ค 
-  วิธีการนำเพื่อนหรือ พนักงานเข้ามาช่วยบริหารในเพจเฟสบุ๊ค ลดความเสี่ยงจากการโดยยึดเพจ
- สอนการสร้างบัญชีธุรกิจ โดยไม่ต้องใช้บัญชีส่วนตัวในการยิง เลี่ยงการถูกปิดบัญชี
- สอนวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายด้วยสถิติ [ผู้สอนจบโทด้านงานวิจัยสถิติโฆษณาโดยตรง]
 - สอนดูคู่แข่งเพื่อมาวิเคราะห์ และพัฒนาสินค้าของตัวเองอย่างมืออาชีพ
- สอนสร้างกลุ่มเป่าหมาย แบบตีวง ล้อมคอก เพื่อเผด็จศึก
- สอนสร้างกลุ่มเป้าหมายในต่างประเทศ
- สอนการยิงแอดเฟสบุ๊คแบบ การมีส่วนร่วม, การเพิ่มยอดไลค์, วีดีโอและข้อความ เชิงลึกแบบเป็นระบบ วิเคราะห์เห็นภาพ
- สอนยิงแอดแบบไม่ให้คู่แข่งดึงข้อมูลของเราได้
- สอนการสร้างกลุ่มเป้าหมาย การตั้งค่ายิงแอดบน Instagram
- A/B Testing (การทดสอบเปรียบเทียบคุณภาพการเข้าถึงของโฆษณา)
- สอนสร้าง Lookalike Audience เพื่อหาลูกค้าที่มีพฤติกรรมคล้ายคลึงกัน เชิงสถิติ
- การวางแผน สร้างระบบข้อความตอบกลับอัตโนมัติ(Chatbot) ในกล่องข้อความเฟสบุ๊ค
- วิธีใช้ เครื่องมือสร้างข้อความตอบกลับอัตโนมัติ(Chatbot)เพื่อปิดการขาย
- วิธีการตั้งค่าการชำระเงิน /การออกใบเสร็จรับเงิน จากเฟสบุ๊ค
- สอนให้วิเคราะห์เพจของผู้เรียนแบบมืออาชีพ แบบยั่งยืนไม่โดนหลอก
- Workshop เพื่อศึกษาสินค้าหรือ วิเคราะห์สินค้าว่ามีส่วนไหนที่ควรพัฒนา

หมายเหตุ :การสอนอาจจะเลยเวลาที่กำหนด เพื่อประโยชน์ของผู้ลงเรียน

Facebook :https://www.facebook.com/katostock
- สอนตัวต่อตัว / กลุ่ม / ออนไลน์
- หลังจบ สามารถโทรปรึกษาได้ตลอด
ประวัติผู้สอน
ตรี-ออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
โท-จิตวิทยาการสื่อสาร & โฆษณา
ประสบการณ์ด้านการตลาด-โฆษณา-ผลิต 20 ปี
ผลงานผู้สอนคลิก : https://katoacademy.com/profile_kato

วัตถุประสงค์ของผู้สอนในการเปิดสอน ?
1. ต้องการผลัดดันผู้ที่เรียน หรือผู้ประกอบการ นำเครื่องมือต่างๆมา สร้างผลงานใหม่ๆ หรือสินค้าใหม่ๆ
2. เพื่อต้องการให้ผู้เรียนในแต่ละคอส ได้คิดนอกกรอบ มากกว่าสิ่งที่มีอยู่ในโปรแกรมที่สอน
3. เพื่อนำความรู้ไปพัฒนาองค์กร ด้วยระบบความคิดที่เป็นกระบวนการ

#สอนเฟสบุ๊ค #สอนเฟสบุ๊คตัวต่อตัว #สอนการตลาดออนไลน์ #สอนถ่ายรูป #สอนโฟโต้ช๊อป


 

 
 
#3905


ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด–19 ในปัจจุบันทำให้หลายคนจำเป็นต้องทำงานที่บ้าน (Work from home) แต่ทราบหรือไม่ว่าการนั่งทำงานอยู่ในท่าเดิมนานๆ โดยไม่ขยับหรือเปลี่ยนอิริยาบถ รวมถึงการนั่งอย่างที่ไม่เหมาะสม อาจเสี่ยงต่อการเกิดอาการปวดหลังจากการนั่งผิดท่าเป็นระยะเวลานาน และอาจลุกลามจนเป็นออฟฟิศซินโดรม (Office syndrome) ได้โดยไม่รู้ตัว แบรนด์ผลิตภัณฑ์เพื่อการดูแลสุขภาพผิวและเส้นผมจากสารสกัดธรรมชาติ 'ธัญ' (THANN) ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านกายภาพบำบัด กภ.บุญญาพร เลิศวัฒนกิตติ มาแนะ "นั่งทำงานอย่างไรให้ห่างไกลออฟฟิศซินโดรม (Office syndrome) พร้อมเทคนิคการนวดผ่อนคลายตัวเองระหว่างการทำงานที่บ้าน" กับกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ช่วยสร้างความผ่อนคลาย อาทิ 'ไทม์ ทู รีเฟรช' (Time to RefreshTM), 'ก้านไม้หอม' (Aroma diffuser), 'บาธ แอนด์ มาสสาจ ออยล์' (Bath & Massage Oil) และ 'บอดี้ บัตเตอร์' (Body Butter) ร่วมกับเซเลบริตี้สาวสวยมาเผยเคล็ดลับการสร้างความผ่อนคลายระหว่างทำงานอยู่ที่บ้านตามแบบฉบับของตนเอง อาทิ ปณิตา ศรไทยเทวา, ศิตา ชุติภาวรกานต์ และ สิรี วงศ์รักมิตร



กภ.บุญญาพร เลิศวัฒนกิตติ ผู้เชี่ยวชาญด้านกายภาพบำบัด ได้แนะนำการจัดท่านั่งทำงานอย่างไรให้ห่างไกลออฟฟิศซินโดรม พร้อมเทคนิคการนวดผ่อนคลายตัวเองระหว่างการทำงานที่บ้าน ว่า "ออฟฟิศซินโดรม (Office syndrome) คือ กลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อและเยื่อพังผืด (Myofascial Pain Syndrome) รวมถึงอาการปวดจากการอักเสบของเนื้อเยื่อและเอ็น (Tendinitis) และอาการปวดชาจากปลายประสาทที่ถูกกดทับบริเวณหลัง บ่า คอ ศีรษะ แขน และข้อมือ อาการเหล่านี้มักพบได้บ่อยกับกลุ่มคนทำงานออฟฟิศที่นั่งทำงานในท่าเดิมนานเกินไป โดยไม่มีการขยับปรับเปลี่ยนท่าหรืออิริยาบถ ซึ่งอาการในระยะแรกนั้นอาจไม่รุนแรงมากเหมือนเป็นการปวดธรรมดาทั่วไป หากปล่อยไว้นานโดยไม่รักษา อาการอาจรุนแรงขึ้นจนกลายเป็นโรคปวดเรื้อรังได้



การจัดท่านั่งที่ถูกต้องในการทำงานจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องใส่ใจ

· ศีรษะ ตั้งตรง ไม่ยื่นคอ เก็บคาง ไม่หนีบโทรศัพท์คุย
· ตา อยู่ระดับเดียวกับหนาจอ ห่างประมาณ 45-60 ซม.

· หลัง นั่งหลังตรง พิงพนักเล็กน้อย

· ต้นขาและสะโพก นั่งบนเบาะให้เต็มก้น และขนานกับพื้น

· ข้อมือและแขน อยู่ระนาบเดียวกกับแป้นพิมพ์ หากใช้เม้าส์ควรมีที่รองข้อมือ

· ข้อศอก แนบลำตัว งอศอกทำมุม 90-120 องศา

· ไหล่ ไม่ยกและปล่อยแขนช่วงบนตามธรรมชาติ

· หัวเข่า ควรอยู่ระดับเดียวกับสะโพก ให้ปลายเท้าวางล้ำไปข้างหน้าเล็กน้อย

· เท้า วางแนบพื้น หากความสูงของโต๊ะไม่พอดี ควรใช้กล่องหรือที่รองมาไว้วางเท้า



คนส่วนใหญ่ที่นั่งทำงานทั้งวันมักมีอาการปวดหลังส่วนบนและส่วนล่างตามมา สาเหตุจากท่านั่งที่ไม่เหมาะสม รวมถึงการนั่งท่าใดท่าหนึ่งนานจนเกินไป ดังนั้นควรแก้ด้วยการเปลี่ยนอิริยาบททุก 1 ชั่วโมงด้วยท่าที่เหมาะสม ได้แก่

· ผสานมือทั้ง 2 ข้างเหยียดตรงขึ้นไปเหนือศีรษะ ยืดตัวค้างไว้ 10 วินาที ทำติดต่อกัน 5 ครั้ง จะช่วยฝึกยืดตัวระหว่างนั่งทำงาน
· นำมือทั้ง 2 ข้างท้าวเอวแล้วหมุนสะโพกไปข้างหลัง สลับกันซ้าย-ขวา ทำซ้ำ 20 ครั้ง จะช่วยให้กระดูกสันหลังยืดยุ่นตัวมากขึ้น ช่วยลดอาการปวดหลังได้
· เก็บคางเข้าหาแนวกลางลำตัวค้างไว้ 5 วินาที ทํา 10 ครั้ง จะช่วยลดภาวะคอยื่นไปข้างหน้า

นอกจากนี้ยังมีวิธีผ่อนคลายส่วนต่างๆ ของร่างกายจากอาการเมื่อยล้า โดยสามารทำได้ดังนี้

· ยืนตัวตรงชิดกําแพง พยายามให้ศีรษะ ไหล่ และหลัง ชิดติดกําแพงให้มากที่สุด ยกแขนขึ้นทํามุมตั้งฉาก ผ่อนบ่าสบายๆ ให้รู้สึกเกร็งบริเวณสะบักด้านหลังค้างไว้ 10 วินาที ทําซํ้า 10 ครั้ง จะช่วยลดการเกร็งของคอ บ่าและไหล่
· ยืนก้มตัวหันหน้าเข้าหากำแพงในระยะห่างที่พอดี โน้มตัวไปข้างหน้าโดยใช้มือยันกําแพงไว้ และปล่อยตัวลง ค้างไว้ 10 วินาที ทําซํ้า 5-6 ครั้ง จะช่วยยืดกล้ามเนื้อด้านหน้า และลดภาวะหลังค่อม
· นั่งไขว้ขาข้างขวาเหมือนท่านั่งไขว่ห้าง แล้วหมุนลําตัวด้านบนไปทางขวาค้างไว้ 10 วินาที ทํา 5-6 ครั้งแล้วสลับข้าง จะช่วยลดอาการปวดเมื่อยหลังและสะโพก
· นั่งไขว้ขาข้างขวาเป็นเลข 4 แล้วก้มตัวลงไปด้านหน้าค้างไว้ 10 วินาที ทํา 5-6 ครั้งแล้วสลับข้าง จะช่วยลดอาการปวดหลัง, สะโพกและก้น



ภาวะออฟฟิศซินโดรมนั้น นอกจากจะมีสาเหตุหลักมาจากการนั่งทำงานด้วยท่าที่ไม่เหมาะสมเป็นเวลานานแล้ว ยังมีอีกหนึ่งปัจจัยร่วม คือ "ความเครียด" จากการทำงาน ดังนั้นจึงควรหาเวลาผ่อนคลายทางด้านอารมณ์ระหว่างการทำงานด้วยการใช้กลิ่นหอมบำบัด (Aromatherapy) จากน้ำมันหอมระเหยจากธรรมชาติ อาทิ ไทม์ ทู รีเฟรช และ ก้านไม้หอม นอกจากนี้การทำสปาด้วยตัวเองที่บ้านด้วยการแช่ตัวในน้ำอุ่นที่ผสมบาธ แอนด์ มาสสาจ ออยล์ หรือการนวดตัวด้วยบอดี้ บัตเตอร์ ร่วมกับท่านวดเพื่อความผ่อนคลาย นอกจากจะช่วยคลายกล้ามเนื้อและความเครียดแล้ว ยังสามารถบำรุงผิวให้เนียนุ่มชุ่มชื้นไปพร้อมกันได้"



ธัญ' (THANN) ผลิตภัณฑ์เพื่อการดูแลสุขภาพผิวและเส้นผม ผสานคุณค่าแห่งพืชพรรณจากแหล่งธรรมชาติชั้นดีทั่วโลกและเทคโนโลยีอันทันสมัย ตลอดระยะเวลากว่า 19 ปีที่ผ่านมา 'ธัญ' (THANN) มุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ธรรมชาติผสานเทคโนโลยีชั้นนำ ผ่านการทดสอบจากสถาบันวิจัยที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลอย่าง Spincontrol Asia Co.,Ltd. (France), Skinnova Lab Co.,Ltd. และ Dermscan Asia อาทิ Dermatological test, Irritation test และ Efficacy test เพื่อยืนยันในคุณภาพและประสิทธิภาพเพื่อการดูแลสุขภาพผิวและเส้นผม และครั้งนี้แบรนด์ 'ธัญ' (THANN) ได้แนะนำผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีจำหน่ายในร้านและเคาน์เตอร์ 'ธัญ' (THANN) กว่า 100 สาขาในทวีปเอเชีย อเมริกา และยุโรป ไทม์ ทู รีเฟรช (Time to RefreshTM) ขนาด 15 มล. ราคา 410 บาท เติมความสดชื่นระหว่างวัน ด้วยส่วนผสมของน้ำมันหอมระเหย (Essential oil) 8 ชนิด อาทิ เกล็ดสาระแหน่ (Menthol), ยูคาลิปตัส (Eucalyptus), เปปเปอร์มินท์ (Peppermint), เลมอน (Lemon peel oil), โรสแมรี่ (Rosemary ), กานพลู (Clove), พริกไทยดำ (Black Pepper ) และจันทน์เทศ (Nutmeg) เนื้อเจลบางเบา สูตรเย็น มอบคุณค่าการบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นด้วย ออแกนิค เชียร์บัตเตอร์ (Organic shea butter), ออแกนิค โกโก้บัตเตอร์ (Organic cocoa butter), ออแกนิค โจโจ้บา ออยล์ (Organic jojoba oil) และออแกนิค อาร์แกน ออยล์ (Organic argan oil)



'ก้านไม้หอม' (Aroma diffuser) ขนาด 150 มล. ราคา 1,450 บาท มอบกลิ่นหอมนุ่มนวลจากน้ำมันหอมระเหยธรรมชาติ ครอบคลุมพื้นที่การใช้งานได้มากขึ้น เหมาะสำหรับใช้ตกแต่ง และสร้างบรรยากาศที่ดีให้กับห้องรับแขก ห้องนั่งเล่น โต๊ะทำงาน หรือห้องนอน มีให้เลือก 5 กลิ่น อาทิ อะโรมาติก วูด ( Aromatic wood), โอเรียนทอล เอสเซ้นซ์ (Oriental Essence), อีสเทิร์น ออร์ชาร์ด (Eastern Orchard), อีเดน บรีซ (Eden Breeze) และ เอิร์ลเกรย์ อินฟิวชั่น (Earl Gray Infusion)



'บาธ แอนด์ มาสสาจ ออยล์' (Bath & Massage Oil) ขนาด 295 มล. ราคา 990 บาท เติมเต็มความชุ่มชื้น คืนชีวิตชีวา สู่ผิว ด้วยคุณค่าการบำรุงของน้ำมันสกัดจากธรรมชาติ อาทิ น้ำมันรำข้าว (Rice Bran Oil), น้ำมันอโวคาโดออแกนิค (Organic Avocado oil), น้ำมันดาวอินคาออแกนิค (Organic Inca Inchi oil) และน้ำมันมะกอก (Olive oil) มอบความชุ่มชื้นสู่ผิวได้ยาวนาน พร้อมมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระทรงประสิทธิภาพ สูตรบางเบา ไม่เหนียวเหนอะหนะ ไม่อุดตันรูขมุขน พร้อมกลิ่นหอมของน้ำมันหอมระเหยธรรมชาติ มีให้เลือก 6 กลิ่น คือ กลิ่นอะโรมาติก วูด (Aromatic Wood) เติมเต็มความเบิกบาน มีชีวิตชีวาด้วยส่วนผสมของ ส้ม จันทน์เทศ ส้มแทงเจอรีน และไม้จันทน์, กลิ่นโอเรียนทอล เอสเซ้นซ์ (Oriental Essence) สดชื่นเบาสบายด้วยกลิ่นอายแห่งโลกตะวันออกด้วยส่วนผสมของตะไคร้และมะกรูด, กลิ่นอีเดน บรีซ (Eden Breeze) ให้ความสงบสมดุล แฝงความอบอุ่นอ่อนหวานด้วยส่วนผสมของดอกมะลิและดอกกุหลาบ, กลิ่นอีสเทิร์น ออร์เชิร์ด (Eastern Orchard) สดชื่นรื่นรมย์ด้วยส่วนผสมของส้มยูซุ มะนาว น้ำมันหอมระเหย และดอกมะลิ, กลิ่นสปริง ฟอเรสต์ (Spring Forest) สะอาด สดชื่น มีชีวิตชีวาด้วยส่วนผสมของหญ้าแฝก เมล็ดถั่ว และเจอราเนียม และกลิ่นลาเวนเดอร์โรสแมรี่ (Lavender & Rosemary) ที่มอบความผ่อนคลายด้วยส่วนผสมของดอกลาเวนเดอร์และดอกโรสแมรี่



'บอดี้ บัตเตอร์' (Body Butter) ขนาด 350 มล. ราคา 1,550 บาท ผลิตภัณฑ์ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวกายสูตรเสริมประสิทธิภาพที่ให้มากกว่าความชุ่มชื้น คืนความเรียบเนียนสู่ผิว ผิวเรียบเนียนขึ้น 19%, ความชุ่มชื้นของผิวเพิ่มขึ้น 22.9% แม้เวลาผ่านไป 6 ชั่วโมง รวมถึง 90% ของผู้ทดสอบผิวมีความกระจ่างใสขึ้น ด้วยส่วนผสมของสารสกัดธรรมชาตินานาชนิด อาทิ สารสกัดอานุภาคขนาดเล็กจากใบชิโซะ (Nano shiso extract), สารสกัดจากจมูกข้าวบาร์เลย์ (Barley extract), เมล็ดเชียบัตเตอร์ออแกนิค (Organic Shea Butter), โจโจ้บา ออยล์ ออแกนิค (Organic Jojoba oil), น้ำมันมะพร้าวออแกนิค (Organic Coconut oil), น้ำมันรำข้าว (Rice bran oil), สารสกัดอานุภาคขนาดเล็กจากบุทเชอร์บรูม (Butcher]s broom extract), สารสกัดมิลค์ทิสเทิล (Milk Thistel extract), สารสกัดจากสนหางม้า (Horsetail extract), สารสกัดจากสาหร่ายทะเล (Bladderwrack extract), สารสกัดจากสาหร่ายเคลป์ (Kelp extract), สารสกัดจากใบไอวี่ (Ivy extract) และ สารสกัดจากรากชะเอมเทศ (Licorice extract) โดยแนะนำให้ใช้ควบคู่กับการออกกำลังกายจะช่วยให้ผิวกระชับและเรียบเนียนน่าสัมผัสมากยิ่งขึ้น



สัมผัสความผ่อนคลายกับผลิตภัณฑ์ 'ธัญ' (THANN) อาทิ 'ไทม์ ทู รีเฟรช' (Time to RefreshTM), 'ก้านไม้หอม' (Aroma diffuser), 'บอดี้ บัตเตอร์' (Body Butter) และ 'บาธ แอนด์ มาสสาจ ออยล์' (Bath & Massage Oil) ได้แล้ววันนี้ที่ออนไลน์สโตร์ www.thann.co.th (ส่งฟรีทั่วประเทศ) และร้าน 'ธัญ' (THANN) ทั้ง 12 สาขาทั่วประเทศ อาทิ สาขาสุขุมวิท 47, ชั้น 2 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์, ชั้น 3 ศูนย์การค้าเกษร, ชั้น 5 ศูนย์การค้าดิเอ็มโพเรียม, ชั้น 1 และชั้น 4 ศูนย์การค้าสยามพารากอน, ชั้น 1 ศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์, ชั้น 4 ไอคอน สยาม, ร้านวูว์ ถนนเจริญราษฎร์ และสาขาถนนพระปกเกล้า (ตรงข้ามวัดเจดีย์หลวง) จังหวัดเชียงใหม่, สาขาป่าตอง (หน้าโรงแรม La Flora ป่าตอง) จังหวัดภูเก็ต และ ธัญ เวลเนส เดสทิเนชั่น จ.พระนครศรีอยุธยา
#3906


รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แจ้งว่า ก.ล.ต.ได้รับรายงานการได้มา หุ้นของ บริษัท โซลาร์ตรอน จำกัด (มหาชน) หรือ SOLAR โดย นางสาว ปุณฑรีก์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ซึ่งเป็นการได้มา เมื่อวันที่ 2 ส.ค.2564 จำนวนหลักทรัพย์ที่ได้มา คิดเป็น 18.3781% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ส่งผลให้จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการได้มา คิดเป็น 18.3781% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ

ส่วนจำนวนหลักทรัพย์ที่ได้มา ของกลุ่มคิดเป็น 18.3781% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ส่งผลให้จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการได้มา ของกลุ่มคิดเป็น 18.3781% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ

ทั้งนี้เป็นการทำธุรกรรมผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นการซื้อขายบนกระดานรายใหญ่ (บิ๊กล็อต) จากนายศึกษิต เพชรอำไพ ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 และยื่นแบบรายงานต่อ ก.ล.ต.ในวันที่ 2 ส.ค. ราคาเฉลี่ย 1.40 บาทต่อหุ้น จำนวนหลักทรัพย์ 100 ล้านหุ้น

นอกจากนี้ ก.ล.ต.ยังได้รับรายงานการจำหน่ายหุ้น SOLAR โดย นายศรีศักร เดชกิจวิกรม ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 ซึ่งเป็นการจำหน่ายในวันเดียวกัน จำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่าย คิดเป็น 6.944% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ส่งผลให้จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่าย คิดเป็น 3.7704% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ

''ธุรกิจประกันชีวิต' ลั่นเงินกองทุนแกร่ง 329% พร้อมรับยอดเคลมโควิดพุ่ง
ขณะที่จำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่าย ของกลุ่มคิดเป็น 6.944% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ส่งผลให้จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่าย ของกลุ่มคิดเป็น 3.7704% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ

ทั้งนี้เป็นการทำธุรกรรมผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน จำกัด (มหาชน) และยื่นแบบรายงานต่อ ก.ล.ต.ในวันที่ 3 ส.ค. จำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่าย 37,784,200 หุ้น หรือ 6.9440% ส่งผลให้ นายศรีศักร เหลือถือหุ้น SOLAR จำนวน 20,515,800 หุ้น หรือ 3.7704%
#3907












ขายบ้านเดี่ยว บ้านไม้ 2 ชั้น ต.สระแจง อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี 116 ตารางวา ขาย 900000 บาท  ติดถนนคอนกรีต คสล. หน้ากว้าง รถสวนกันได้  ทางหลวงชนบท สห 4037 น้ำไฟพร้อม  ใกล้ตัวเมือง  ใกล้สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์  ใกล้แหล่งเจริญ อยู่ในแหล่งชุมชน  ดินดีอุดมสมบูรณ์ อยู่ในจังหวัดที่ผืนแผ่นดินมีคุณค่าทั้งทางใจและทางประวัติศาสตร์ ที่บรรพบุรุษเสียเลือดเนื้อปกป้องผืนแผ่นดินมาเพื่อลูกเพื่อหลาน จังหวัดสิงห์บุรีแม้นเป็นจังหวัดเล็กๆแต่ก็ถือเป็นจังหวัดทางภาคกลางที่มีความเจริญรุ่งเรือง  มีโบราณสถานและโบราณวัตถุหลายสิ่งอย่างให้น่าศึกษาค้นหา ที่ตั้งสิ่งปลูกสร้างอยู่บนโฉนดเลขที่ 29551 เลขที่ดิน 255 หน้าสำรวจ  1372 ต.สระแจง อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี ตัวบ้านออกแนวโบราณเก่าแก่  เน้นอาศัยตสมวิถีไทยพื้นบ้าน เป็นลักษณะบ้านไม้ 2 ชั้น ใต้ถุนสูง   ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางความเจริญแหล่งชุมชนสถานที่สำคัญๆ

สนใจโทร  083-712-4115
LINE  ID : 0837124115

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=122558699841673&id=100062626307647

https://www.google.com/maps/place/14%C2%B053'41.2%22N+100%C2%B014'48.8%22E/@14.894775,100.2468791,17z
#3908


นักวิชาการ อธิบาย "ฟาวิพิราเวียร์" ลุ้นวิกฤตขาดแคลน ระบุ เหตุขั้นต่ำ 15 ล้านเม็ดต่อเดือนในภาวะควบคุมได้ดี แต่ที่น่ากังวล คือ ราคาต่อเม็ดแพงกว่า 100 บาท ผู้ป่วย 1 คนไม่น้อยกว่า 75 เม็ด กลายเป็นต้นทุนที่ยากต่อการกระจายให้ประชาชนทุกระดับเข้าถึงการรักษา

เมื่อวันที่ 4 ส.ค. 4 ผศ.ดร.อนุภาพ สมบูรณ์สวัสดี อาจารย์ประจำภาควิชาสถิติ ผู้อำนวยการศูนย์ให้คำปรึกษาและวิจัยทางสถิติ ภาควิชาสถิติ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า งานวิจัยนี้ ใช้ข้อมูลตั้งแต่กลางเดือน มิ.ย. ถึง 18 ก.ค.ที่ผ่านมา เพื่อคาดการณ์จำนวนการใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ 3 แบบตามสถานการณ์แพร่ระบาดโรคโควิด-19 คือ

Best แทนความหมายของสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด คือ ประเทศไทยสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้อย่างรัดกุม วัคซีนมีประสิทธิภาพ มาตรการคลอบคลุม ประชาชนให้ความร่วมมือ เราควรมียาฟาวิพิราเวียร์ ประมาณ 15,027,913 เม็ด

.ter : สถานการณ์แพร่ระบาดระดับกลาง เราควรมียาฟาวิพิราเวียร์ ประมาณ 25,161,217 เม็ด

Base : การแพร่ระบาดไม่มีอะไรดีขึ้น เมื่อเทียบกับสถานการณ์เมื่อ มิถุนายน เราควรมียาฟาวิพิราเวียร์ ประมาณ 55,413,106 เม็ด

ส่วนสถานการณ์ที่แย่ไปกว่านี้ อาจารย์อานุภาพ กล่าวว่า ไม่น่าจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะ Max ที่มีการเสียชีวิตนับล้านคน ที่เชื่อว่า ก่อนจะถึงภาวะแบบร้ายแรงเช่นนี้ รัฐบาลประกาศมาตรการสกัดไว้ได้อย่างแน่นอน

ผศ.ดร.อนุภาพ กล่าวถึงกำลังการผลิตที่จะเกิดขึ้นว่า ไม่น่าจะเพียงพอจากที่ระบุไว้เพียง 5 แสนเม็ด เมื่อเทียบกับจำนวนยา ขั้นต่ำ 22 ล้านเม็ด แต่เชื่อว่ารัฐบาลสามารถแก้ปัญหานี้ได้ แต่ที่น่าตกใจ คือ ราคาที่สูงและมากกว่า 100 บาท ถือเป็นต้นทุนที่ไม่อาจรับมือกับกันทุกคน เพราะ ผู้ป่วย 1 คน อาจต้องรับประทานยา 75 – 99 เม็ด ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของเชื้อไวรัสที่เข้าสู่ร่างกาย
#3909


วันที่ 4 ส.ค. ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) เปิดเผยรายชื่อจังหวัดที่มีคำสั่ง และประกาศให้มีการกักตัวผู้ที่เดินทางมาจากนอกพื้นที่รวม 62 จังหวัด จากข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 1 ส.ค.2564 เวลา 15.00 น. ประกอบด้วย

• ภาคเหนือ 17 จังหวัด

1. กำแพงเพชร

2. เชียงราย

3. เชียงใหม่


4. ตาก

5. นครสวรรค์

6. น่าน

7. พะเยา

8. พิจิตร

9. พิษณุโลก

10. เพชรบูรณ์

11. แพร่

12. แม่ฮ่องสอน

13. ลำปาง

14. ลำพูน

15. สุโขทัย

16. อุตรดิตถ์

17. อุทัยธานี

• ภาคกลาง-ตะวันออก 14 จังหวัด

1. กาญจนบุรี

2. จันทบุรี

3. ฉะเชิงเทรา

4. ชัยนาท

5. นครนายก

6. ประจวบคีรีขันธ์

7. ปราจีนบุรี

8. ระยอง

9. ราชบุรี

10. ลพบุรี

11. สระบุรี

12. สิงห์บุรี

13. สุพรรณบุรี

14. อ่างทอง

ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท

• ภาคใต้ 11 จังหวัด

1. กระบี่

2. ชุมพร

3. ตรัง

4. นครศรีธรรมราช

5. พังงา

6. พัทลุง

7. ยะลา

8. ระนอง

9. สงขลา

10.สตูล

11. สุราษฎร์ธานี

• ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 20 จังหวัด

1. กาฬสินธุ์

2. ขอนแก่น

3. ชัยภูมิ

4. นครราชสีมา

5. นครพนม

6. บึงกาฬ

7. บุรีรัมย์

8. มหาสารคาม

9. มุกดาหาร

10. ยโสธร

11. ร้อยเอ็ด

12. เลย

13. ศรีสะเกษ

14. สกลนคร

15. สุรินทร์

16. หนองคาย

17. หนองบัวลำภู

18. อำนาจเจริญ

19. อุดรธานี

20. อุบลราชธานี
#3910


"สินทรัพย์ดิจิทัล" นับเป็นการลงทุนที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในขณะนี้ มีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูง แต่ก็มีความเสี่ยงสูงมาก ทั้งยังเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและเข้าใจยากสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานด้านการลงทุนรวมถึงเทคโนโลยี

จุดปัญหานี้กลายเป็นเหตุผลให้กับการพัฒนา "Robo Advisor" บริการวางแผนการลงทุน และจัดพอร์ตกองทุนรวมแบบอัตโนมัติ ที่มีปัญญาประดิษฐ์หรือสมองกลอยู่เบื้องหลัง


"ชลเดช เขมะรัตนา" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท โรโบเวลธ์กรุ๊ป จำกัด อธิบายว่า Robo Advisor ประกอบด้วยการนำอัลกอริทึม การจัดการข้อมูลจำนวนมาก และสมองกลมาใช้ร่วมกับการให้คำปรึกษาด้านการเงิน เพื่อวางแผนการลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินประเภทต่างๆ แบบอัตโนมัติ เสมือนเป็นเครื่องมือช่วยนักลงทุนวิเคราะห์บริหารจัดการการลงทุนที่ง่ายและเหมาะสม

อัพเดทไว ไม่พลาดการลงทุน

แพลตฟอร์ม Odini เป็น Robo-advisor รายแรกในประเทศไทย เปิดตัวไปเมื่อกลางปี 2561 ตอบโจทย์กลุ่มคนทั่วไปที่ต้องการเข้าถึงการลงทุนในกองทุนรวมแบบอัตโนมัติ สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ พร้อมให้อิสระในการเลือกลงทุนเป็นเงินก้อน หรือทยอยลงทุนเป็นรายเดือน ผ่าน 5 พอร์ตความเสี่ยง และผลตอบแทนที่เลือกได้ โดยเริ่มต้นผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 4-12% ต่อปี เพื่อเป็นทางเลือกของการออมเงินระยะยาวกับการลงทุนที่ชนะเงินเฟ้อ และดอกเบี้ยเงินฝาก

Odini BLACK แพลตฟอร์มการลงทุนแบบ Global Asset Allocation ที่เน้นการเติบโตของพอร์ตการลงทุนเป็นหลัก โดยจะเป็นการลงทุนผ่านกองทุนทั่วโลกซึ่งเน้นการเติบโตในระยะยาว เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นของลูกค้ากลุ่ม Mass Affluent ปัจจุบันมีผู้ใช้งาน 332,141 บัญชี

ส่วนแพลตฟอร์ม FinVest เปิดตัวไปในช่วงปลายปี 2563 ให้บริการคัดเลือกกองทุนรวมที่น่าสนใจ ในรูปแบบ Thematic Investment เน้นการให้ข้อมูลที่มีเนื้อหาเข้าใจง่าย โดยร่วมมือกับธนาคารกสิกรไทยและ Lu International บริษัทฟินเทครายใหญ่ ปัจจุบันมีผู้ใช้งาน 123,143 บัญชี และ ASCEND WEALTH เป็นบริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ภายใต้กลุ่มทรู โดยโรโบเวลธ์ได้ทำระบบในส่วนของ Mutual Fund ช่วยให้ผู้ใช้บริการสามารถซื้อกองทุนรวมผ่านแอพทรูมันนี่วอลเล็ต ปัจจุบันมีผู้ใช้งานถึง 485,374 บัญชี

รายได้ของบริษัทมาจากค่าธรรมเนียมนายหน้าซื้อขายกองทุนรวม ได้แก่ ค่าธรรมเนียม front-end และ ค่าธรรมเนียมการจัดการ อีกทั้งส่วนแบ่งรายได้ค่าธรรมเนียมนายหน้ากองทุนรวมจากพันธมิตร ส่วนฝั่ง B2B ได้แก่ ค่าพัฒนา ค่าบำรุงรักษา และส่วนแบ่งรายได้

"ชี้เป้า" การลงทุนถูกจุด


ภาพรวมตลาดเวลธ์เทค ชลเดช มองว่า เป็นตลาดที่มีการแข่งขันสูง แต่ช่วงหลังที่ไม่ค่อยมีผู้เล่นรายใหม่ที่เป็นสตาร์ทอัพเข้ามา ทั้งนี้การเติบโตยังไปได้ ส่วนตลาด B2C นอกจากกลุ่มธนาคารก็ยังมีอุตสาหกรรมอื่น อาทิ ประกัน รีเทล โทรคมนาคม ที่เริ่มมองหาการพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อการลงทุน นำเสนอให้กับฐานลูกค้าของตนเอง

"เมื่อเทียบกับประชากรในไทยที่มีกว่า 70 ล้านคน มีบัญชีที่ซื้อกองทุนและหุ้นเพียง 2 ล้านบัญชี ซึ่งไม่ถึง 5% ของจำนวนประชากรทั้งหมด แต่มีนักลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลจำนวนหลายแสนคน เนื่องจากคนไทยค่อนข้างชอบเก็งกำไร แต่การลงทุนแบบ DCA ทุกเดือน เป็นระยะยาวยังมีน้อยนัก ส่วนในประเทศที่พัฒนาแล้วสัดส่วนคนลงทุนครึ่งต่อเครื่อง และประเทศที่กำลังพัฒนาสัดส่วนจะอยู่ที่ 10% ดังนั้น ตลาดนี้จึงยังคงมีช่องว่าง"

ขณะที่โรโบเวลธ์ได้เปรียบแพลตฟอร์มต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพียงบริษัทเทคโนโลยี ไม่มีความเชี่ยวชาญเรื่องไลเซ่นส์ หรือการประกอบธุรกิจ และที่สำคัญเมื่อเป็นด้านเทคโนโลยีในเรื่องของภาษามีส่วนที่เป็นข้อจำกัด อีกข้อดีหนึ่งคือ เนื่องจากโรโบเวลธ์เป็น co-founder จึงมีการแอคทีพตลอดเวลา เมื่อมีดีลจึงเร็วและยืดหยุ่นสูง ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้โรโบเวลธ์โตได้ไว

สำหรับแผนธุรกิจช่วงกลางปีในส่วนของ FinVest มีแผนจะเปิดให้นักลงทุนสามารถซื้อกองทุนต่างประเทศได้โดยตรง ทั้งแลกเปลี่ยนอัตราได้แบบเรียลไทม์ ส่วน Odini จะมีการลอนซ์หลากหลายฟีเจอร์ทั้งในแง่ของ portfolio และ financial planning ที่จะเน้นเรื่องของแผนเกษียณ รวมถึงแอพพลิเคชั่นใหม่ที่กำลังพัฒนาร่วมกับพาร์ทเนอร์ ทั้งยังมีแผนขยายตลาดไปยังเวียดนาม และอินโดนีเซียในอนาคต
#3911



จากโรงกลั่นน้ำมันเอกชนรายแรกของประเทศ "ไทยออยล์" ตั้งปณิธานสานต่อความตั้งใจไม่หยุดยั้ง พร้อมอยู่เคียงข้างสังคมไทย สร้างความมั่นคงทางพลังงานและการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน มุ่งสู่องค์กร 100 ปี สร้างสรรค์คุณภาพชีวิตด้วยพลังงานและเคมีภัณฑ์ที่ยั่งยืน

กล่าวได้ว่า "ไทยออยล์" เป็นผู้เปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แก่อุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันในไทย เพราะเป็นผู้ประกอบการอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันเอกชนรายแรกของประเทศมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2504 ด้วยกำลังการผลิต 35,000 บาร์เรล/วัน

ตลอดระยะเวลา 60 ปี ไทยออยล์ยังคงมุ่งมั่นสานต่อไม่ลดละเพื่อตอบโจทย์ความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ จนในปัจจุบันเป็นโรงกลั่นที่มีกำลังการผลิตสูงที่สุดในประเทศ ผลิตน้ำมันสำเร็จรูปออกมาจำหน่ายประมาณร้อยละ 31 หรือ 1 ใน 3 ของปริมาณน้ำมันสำเร็จรูปที่จำหน่ายทั้งหมดในประเทศไทย

เรื่องราวความสำเร็จของ "ไทยออยล์" ในช่วง 60 ปีที่ผ่านมาล้วนสร้างหลักไมล์ในโลกพลังงานหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น...การเป็นโรงกลั่นน้ำมันที่ทันสมัย มีความซับซ้อนในเชิงกระบวนการผลิตที่อยู่ในระดับต้นๆ ของภูมิภาคเอเชีย ทำให้สามารถผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงและเป็นที่ต้องการของตลาดในสัดส่วนที่มาก, เป็นโรงกลั่นที่สามารถผลิตน้ำมันไร้สารตะกั่วและน้ำมันเกรด Euro4 ได้ทุกผลิตภัณฑ์ เป็นรายแรก เป็นต้น

ด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างความยั่งยืนแก่เศรษฐกิจและสังคมไทยโดยรวมมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ไทยออยล์ได้รับรางวัลผู้นำด้านความยั่งยืนในระดับโลก อย่าง DJSI ในเวทีระดับโลกด้วย



ยืนหนึ่ง โรงกลั่นทันสมัยระดับภูมิภาค เติบโตและอยู่ร่วมกับชุมชนอย่างเป็นมิตร

ปัจจุบัน นอกจากการเป็นผู้ผลิตรายใหญ่และมีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดในประเทศแล้ว ไทยออยล์ยังขยายตลาดไปยังต่างประเทศมากขึ้น เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจในการเติบโตไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคซึ่งมีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับสูง

นอกจากนี้ ไทยออยล์ยังได้มีการขยายการลงทุนไปยังธุรกิจอื่นๆ เช่น ธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน ธุรกิจอะโรเมติกส์ ธุรกิจผลิตไฟฟ้า และเอทานอล เพื่อตอบสนองความต้องการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน พร้อมรองรับความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างสมบูรณ์แบบ อีกทั้งยังเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมรายแรกและรายเดียวของประเทศที่ผลิตสาร Linear Alkyl Benzene (LAB) ซึ่งเป็นสารตั้งต้นที่ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผงซักฟอก น้ำยาทำความสะอาดต่างๆ ที่จำหน่ายทั้งในประเทศ และต่างประเทศ

แม้ว่าจะเติบโตทั้งในระดับประเทศและภูมิภาค แต่ไทยออยล์ก็ไม่ลืมชุมชนรอบๆ โรงกลั่นที่อยู่ร่วมกันมา เพราะไทยออยล์เป็นโรงกลั่นน้ำมันที่เกิดขึ้นกลางชุมชน การให้ความสำคัญต่อคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนจึงเป็นสิ่งที่ไทยออยล์คำนึงมาโดยตลอด จนกระทั่งได้รับการยกย่องในฐานะบริษัทต้นแบบของการดำรงอยู่ร่วมกันระหว่างภาคอุตสาหกรรมกับชุมชน โดยได้รับการประเมินวัดระดับความผูกพันระหว่างชุมชนกับไทยออยล์อยู่ในระดับสูงมาโดยตลอด

หลักการสำคัญที่ไทยออยล์ยึดมั่นมาโดยตลอดเพื่อดูแลชุมชนรอบโรงกลั่น ทั้ง "หลัก 3 ประสาน" โดยเน้นการบูรณาการความร่วมมือที่ดีระหว่าง "ไทยออยล์", "ชุมชน" และ "ส่วนราชการท้องถิ่น" และ "5 ร่วม" ได้แก่ ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมแก้ไข ร่วมรับผล และร่วมพัฒนา โดยตัวแทนจากทั้ง 3 ภาคส่วนจะมีการประชุมร่วมกันทุกเดือนเพื่อสื่อสารข้อมูลของบริษัทไปยังชุมชนได้อย่างถูกต้องและมีความน่าเชื่อถือ และเปิดโอกาสให้ตัวแทนแต่ละชุมชนเสนอข้อมูลที่เป็นปัญหาหรือข้อคิดเห็นต่อการดำเนินงานของบริษัทฯ เพื่อมาหาวิธีแก้ไขปัญหาปัจจุบัน และป้องกันปัญหาระยะยาวไม่ให้เกิดซ้ำอีก

นอกจากนี้แล้ว ไทยออยล์ยังได้จัดทำโครงการดีๆ เพื่อชุมชนมาอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นให้ความสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา เช่น การมอบทุนการศึกษาเพื่อพัฒนาเยาวชนดีเด่นในพื้นที่ (Thaioil Scholarship for Community's Talent Student) การจัดค่ายอบรมความรู้ทั้งด้านวิทยาศาสตร์ และภาษาอังกฤษ เป็นต้น

ขณะที่ในด้านสุขภาพและสาธารณสุข ก็มีการจัดทำโครงการมากมาย เช่น การสร้างศูนย์สุขภาพและการเรียนรู้กลุ่มไทยออยล์เพื่อชุมชน ที่จัดกิจกรรมออกกำลังกายแอโรบิก รวมทั้งจัดให้มีเครื่องเล่นเด็กและอุปกรณ์ออกกำลังกายสำหรับชุมชน, การจัดคลินิกทันตกรรม, สร้างลานกิจกรรมกลางแจ้ง รวมถึงการสร้างอาคารอุบัติเหตุและฉุกเฉิน 5 ชั้นให้แก่โรงพยาบาลแหลมฉบัง ฯลฯ

นอกจากนั้น ยังให้ความสำคัญต่อการดูแลสิ่งแวดล้อม เช่น การสร้างพื้นที่สีเขียว การปลูกป่าชายเลน เป็นต้น

ทั้งหมดนี้ หลอมรวมให้ไทยออยล์สามารถอยู่ร่วมและเป็นมิตรกับชุมชน ซึ่งส่งผลให้เกิดความแข็งแกร่งแก่องค์กร และชุมชนก็เข้มแข็งเติบโตไปด้วยกันมาจนปัจจุบัน และต่อไปในอนาคต



เดินหน้าสู่องค์กร 100 ปี สร้างสรรค์คุณภาพชีวิตด้วยพลังงานและเคมีภัณฑ์ที่ยั่งยืน

จากเรื่องราวความสำเร็จตลอดระยะเวลา 60 ปีที่ผ่านมา ไทยออยล์ยังคงเดินหน้าสานต่อภารกิจความมั่นคงยั่งยืนด้านพลังงาน โดยหนึ่งในนั้นคือการต่อยอดจากธุรกิจปิโตรเลียม ไปสู่ธุรกิจปิโตรเคมีและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและตลาด มีผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ตามแผนการเพิ่มการลงทุนที่หลากหลาย ด้วยเป้าหมายเพื่อลดการพึ่งพาธุรกิจการกลั่นน้ำมันแต่เพียงอย่างเดียว การขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ และลงทุนในธุรกิจที่เป็นไปตามแนวโน้มของโลก รวมทั้งธุรกิจไฟฟ้า และธุรกิจพลังงานทางเลือกใหม่อื่นๆ

ไทยออยล์มีแผนกลยุทธ์ที่จะผลักดันไปสู่เป้าหมายความสำเร็จในอนาคตตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยวางแผนที่จะเร่งหาโอกาสในการลงทุนเพื่อต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์ จากธุรกิจการกลั่นน้ำมัน ไปสู่ธุรกิจปิโตรเคมี กลุ่มโอเลฟินส์ เพิ่มเติมจากกลุ่มอะโรเมติกส์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากมีผลิตภัณฑ์ปลายน้ำที่หลากหลายกว่า ถือเป็นการต่อยอดห่วงโซ่คุณค่าจากสารแนฟทา และแอลพีจี ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของโรงกลั่น รวมถึงมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง (High-value Products) เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาดและลูกค้าอีกด้วย

กลยุทธ์การสร้างแพลตฟอร์มเพื่อแสวงหาโอกาสการเติบโตของธุรกิจในอนาคตในภูมิภาคผ่านการบริหารจัดการห่วงโซ่คุณค่าผลิตภัณฑ์ เพื่อตอบสนองต่อกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายขึ้น

กลยุทธ์การกระจายความเติบโตเพื่อลดความผันผวนของกำไรจากธุรกิจการกลั่นน้ำมันโดยเป็นการลงทุนในธุรกิจที่มีรายได้ที่มั่นคง รวมถึงธุรกิจใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือธุรกิจใหม่เชิงนวัตกรรมที่สอดคล้องกับแนวโน้มในอนาคต (New S Curve) ซึ่งจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้พอร์ตการลงทุนและเพิ่มเสถียรภาพของกำไร รองรับความผันผวนจากธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมีที่เกิดขึ้นจากปัจจัยรอบด้าน

ควบคู่กับแผนกลยุทธ์ข้างต้น ไทยออยล์ยังได้วางแนวทางในการผลักดันให้กลยุทธ์ที่วางไว้ประสบความสำเร็จด้วยแนวทาง 4P ที่เริ่มต้นด้วย People คือ การพัฒนาศักยภาพบุคลากรภายในองค์กรให้มีความรู้ความสามารถเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนธุรกิจในอนาคต ตามมาด้วย P ที่ 2 คือ Patronage ซึ่งหมายถึงผู้มีอุปการคุณทางธุรกิจที่ไทยออยล์ได้ส่งมอบคุณค่าให้ ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า คู่ค่า นักลงทุน ผู้ถือหุ้น รัฐบาล รวมถึงชุมชน ซึ่งมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์เพื่อยอดธุรกิจ

สำหรับ P ที่ 3 คือ Partner หรือ "หุ้นส่วน" ผู้เป็นพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในและนอกประเทศที่ร่วมสร้างธุรกิจร่วมกัน และ P สุดท้าย คือ Platform ที่ไทยออยล์มุ่งใช้ประโยชน์สูงสุดจากแพลตฟอร์มต่างๆ ทั้งแพลตฟอร์มทางธุรกิจที่มีอยู่เดิม แพลตฟอร์มทางความรู้ และดิจิทัลแพลตฟอร์ม เพื่อพัฒนาให้ธุรกิจประสบผลสำเร็จ

เหนืออื่นใด คือนโยบายด้านความยั่งยืนที่ไทยออลย์ยึดถือเป็นเข็มทิศในการดำเนินธุรกิจมาโดยตลอดระยะเวลา 60 ปี ที่จะช่วยให้องค์กรมีความพร้อมต่อสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนในอนาคต สู่การเป็นองค์กร 100 ปี นั่นก็คือ ESG ที่หมายถึง

ด้าน E - Environment: Towards Green Economy เพื่อตอบสนองต่อทิศทางของโลกในเรื่องการลดก๊าซเรือนกระจกและเป็นเศรษฐกิจสีเขียว ไทยออยล์จึงมุ่งเน้นให้กระบวนการผลิตของไทยออยล์มีประสิทธิภาพสูงสุด เช่น ใช้พลังงานให้คุ้มค่า มีการนำกลยุทธ์ 3Rs มาใช้ (Reuse, Reduce, Recycle) และมีผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เป็นต้น

ด้าน S - Social: Towards .ter Quality of Life นอกจากการบริหารความสัมพันธ์กับชุมชนแล้ว ไทยออยล์ยังมุ่งเน้นในการสร้างประโยชน์ต่อชุมชน สังคม ให้เป็นรูปธรรม ผ่านโครงการเพื่อความรับผิดชอบต่อสังคมที่อาศัยองค์ความรู้ของบุคลากรของไทยออยล์ด้านพลังงานและวิศวกรรมเข้าไปสนับสนุน เช่น โครงการติดตั้ง Solar cell ให้กับโรงพยาบาล เป็นต้น

ด้าน G - Governance: Towards Good Governance เน้นเรื่องระบบการจัดการที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้มีส่วนได้เสีย มุ่งสร้างความโปร่งใสโดยทำระบบบริหารจัดการ Integrated GRC (Governance, Risk and Compliance) มาใช้ ผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1. การปลุกจิตสำนึกและค่านิยมของบุคลากรในองค์กร 2. การสร้างระบบที่แข็งแรง 3. การรักษาสมดุลระหว่างการควบคุมกับประสิทธิภาพ และคล่องตัวในการดำเนินงาน โดยไทยออยล์มุ่งเน้นการมีบรรษัทภิบาล (G:governance) ที่เป็นธรรมต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ในทุกๆ กิจกรรมในการดำเนินธุรกิจ

จากจุดเริ่มต้น จนกระทั่งครบรอบ 60 ปีใน พ.ศ.นี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า ไทยออยล์ คือบริษัทด้านพลังงานที่มีการเติบโตมั่นคงมาโดยตลอด โดยให้ความสำคัญต่อคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนที่อยู่ร่วมกัน รวมทั้งคุณภาพของสิ่งแวดล้อม และพร้อมก้าวเดินต่อไปด้วยวิสัยทัศน์และจุดยืนเพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้แก่ประเทศ และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยไปพร้อมๆ กันด้วย
#3912


นักแสดง นาว-ทิสานาฎ บิ๊กเอ็ม-กฤตทธิ์ และ เซฟฟานี พร้อมด้วยผู้ประกาศข่าว จีรนันท์ เขตพงศ์ จาก ช่อง 7HD ร่วมส่งกำลังใจพร้อมแนะแนวทาง แบ่งปันไอเดีย ต่อยอดคูณสองเป็นช่องทางสร้างรายได้ เติมสุข หวังเป็นส่วนหนึ่งช่วยลดความตึงเครียด สร้างขวัญและกำลังใจในการอยู่บ้านหยุดเชื้อตามพรก.ฉุกเฉิน สำหรับประชาชนในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด

เริ่มที่นางเอกสาว นาว ทิสานาฎ ศรศึก จากละคร แม่เบี้ย เผย "ผลของการเก็บตัวในช่วงอยู่บ้านหยุดเชื้อในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่ระลอกแรกจนปัจจุบัน สิ่งที่ได้ทำคือร้านออนไลน์ที่ชื่อ eatmenow.bynow แบรนด์เบเกอรี่ขนม พัฒนาจากความชอบทานขนม ทำให้นาวค้นหาสูตรอร่อยทำทานเอง ใช้วัตถุดิบคุณภาพ สูตรเดียวกับที่เราชอบทาน ศึกษาจากช่องทางต่าง ๆ ในโซเชียล เจาะเรียนแต่ละสูตรแล้วมาปรับสูตรตามที่เราชอบ แม้ไม่ได้เรียนเป็น คอร์สจริงจัง แต่สิ่งที่ได้กลับมาเป็นงานอดิเรกและเป็นอาชีพเสริมได้ มีความสุขที่ได้ทำขนม สำหรับแฟน ๆ ที่กำลังเครียดลองใช้วิธีแบบนาวได้นะคะ ทำให้เราได้มีโอกาสฝึกทำขนมได้เต็มที่ ลดความเครียดได้ด้วยนะคะ"

ด้าน บิ๊กเอ็ม กฤตฤทธิ์ บุตรพรม พระเอกหนุ่มจากละครรีรัน ข้ามากับพระ ซึ่งกลับมาให้ชมกันอีกครั้ง เล่าถึงกิจกรรมช่วง Work From Home ว่า "โรคระบาดนี้จะยังอยู่กับเราอีกนาน ดังนั้นเรียนรู้ที่จะอยู่และปรับตัวรับมือ อาจจะมองเห็นโอกาสใหม่ ๆ ของเราได้นะครับ ซึ่งการได้อยู่บ้านนิ่ง ๆ ยาวนานนับเดือน ทำให้ผมได้ทบทวนวางแผนชีวิตตัวเองมากขึ้น ทั้งงานเบื้องหน้าในฐานะนักแสดงและงานเบื้องหลังในอนาคตที่วางเป้าหมายเป็นผู้ผลิต ใช้เวลาช่วงนี้ศึกษา และตีความบทบาทละครที่รอถ่ายทำ ดึงความชอบดูภาพยนตร์ ซีรีส์ มาศึกษาหาแนวทางเทคนิคการแสดงใหม่ ๆ มาปรับใช้เตรียมความพร้อมรับการเปิดกองถ่ายได้ทันที นอกเหนือจากงานแสดงผมใช้โอกาสที่ตนเองชอบงานอาร์ตต่าง ๆ ลงเรียนเพิ่มเติมในคอร์สออนไลน์ ดูงานฝีมือจากคนเบื้องหลังเก่ง ๆ ทั้งเทคนิคพิเศษ กราฟิกดีไซน์ ตัดต่อ งานถ่ายทำ วางมุมกล้อง จัดแสงวางไฟ จนได้ทั้งข้อมูลและอุปกรณ์ มาพลิกโฉมห้องโถงภายในบ้าน เปลี่ยนเป็นสตูดิโอ

ย่อม ๆ รับผลิตงานแบบโปรดักชันเล็ก ๆ ได้เลยครับ ถือว่าเป็นการเตรียมความพร้อมวางแผนตามฝันของการทำงานเบื้องหลังในอนาคต ถือเป็นอีกช่วงหนึ่งที่แม้จะได้พักหายใจนานไปนิด แต่ก็ยังสนุกและได้พัฒนาทักษะ รู้จักขีดความสามารถของเราเพิ่มขึ้น ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนผ่านพ้นสถานการณ์นี้ไปพร้อม ๆ กันนะครับ"

รวมถึงยังมีแนวทางการรับมือจาก เซฟฟานี อาวะนิค นางเอกสาวสายสตรอง ซึ่งได้รับผลกระทบทั้งงานแสดงและงานเทรนเนอร์ไม่แพ้กันเผยว่า "สำหรับเซฟได้รับผลกระทบเช่นกัน แต่เราสามารถพลิกวิกฤติมาปรับตัวเรียนรู้ที่จะรับมือ Work From Home เต็มรูปแบบ มีความสุขได้ง่าย ๆ สไตล์เซฟค่ะ ซึ่งหลักสำคัญต้องมีวินัยทำกิจกรรมที่เรารักอย่างสม่ำเสมอ ขอยกตัวอย่างแผนการใช้ชีวิตของเซฟนะคะ คือ ออกกำลังกาย ทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะ ท่องโลกโซเชียลไม่เกิน 40 เปอร์เซนต์ จัดตารางทำงานของตัวเอง คืองานสอนแต่ละคลาสการออกกำลังกาย แบ่งช่วงเช้าบ่าย เช็คลิสต์ลูกศิษย์แต่ละคนว่าทานอาหารอย่างไร เพื่อติดตามผลและปรับปรุงคอร์ส ซึ่งเปลี่ยนจากการเป็น Personal Trainer ในสตูดิโอ มาให้คำแนะนำผ่านช่องทางออนไลน์ และพัฒนามาเป็นคอร์สออนไลน์จริงจัง ซึ่งได้ผลตอบรับดีทีเดียว เพราะมีลูกศิษย์ลงเรียนต่อเนื่อง ลูกศิษย์มีสุขภาพที่ดีเละเราก็มีรายได้ แม้จะเป็นการออกกำลังกายที่บ้านแต่สามารถได้รับประโยชน์ไม่ต่างกัน นอกจากนี้หากใครที่สนใจ เราก็มีคอร์สแนะนำก็คือสำหรับใครที่มีประสบการณ์แล้ว และสามารถทำได้เอง เราก็จะส่งโปรแกรมให้ไปฝึกฝน เล่นเองค่ะ หากสนใจติดตามรายละเอียดได้ในช่องทาง IG:stephanyauernig"


จีรนันท์ เขตพงศ์ ผู้ประกาศข่าว เช้าข่าว 7 สี และรายการ 7สี ช่วยชาวบ้าน เผย "สำหรับการทำหน้าที่เป็นผู้ประกาศข่าวและเป็นสื่อมวลชน เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องออกมาทำงาน ต้องดูแลระมัดระวังตัวเองเต็มที่ เช่น เตรียมตัวเองแต่งหน้า ทำผมมาจากบ้าน ใช้เวลานอกบ้านเท่าที่จำเป็น เมื่อกลับเข้าบ้านก็ดูแลตัวเองอาบน้ำสระผมให้เรียบร้อยก่อนเริ่มงานอื่น และลงมือทำงานตามปกติ เพียงแค่เปลี่ยนบ้านให้เป็นออฟฟิศทำงาน ซึ่งมีข้อดีคือ เมื่อเครียด ๆ หรืออ่อนล้าจากหน้าจอ ละลายความตึงเครียดด้วยการหยิบไหมพรมมาถักโครเชต์ เรียกสมาธิและมีเสื้อใหม่ ๆ ใส่เพิ่มแบบไม่ต้องออกไปซื้อด้วยนะคะ เป็นงานอดิเรกงานใหม่ที่ไม่คิดว่าตัวเองทำได้ดี จนมีคนติดต่อเข้ามาขอซื้อเสื้อถักด้วย เพิ่มรายได้อีกทางหนึ่ง หรือการออกไปดูแลผักสวนครัวที่เราทยอยปลูกติดบ้านไว้ เก็บมาเตรียมทำอาหาร ซึ่งผักที่เราปลูกได้เองทำให้เราสามารถลดค่าใช้จ่ายไปจากเดิมถึง 30 เปอร์เซ็นต์ทีเดียว ลองดูนะคะ ในช่วงนี้หากบอกว่าอย่าเครียดอาจจะทำได้ยาก แต่ลองเปลี่ยนหาวิธีใหม่ทำในสิ่งที่ชอบ หรืออยากทำแต่ยังไม่ได้ทำ อาจใช้ช่วงโอกาสนี้ฟื้นความสามารถกลับมาลงมืออีกครั้ง เราอาจจะได้อะไรดี ๆ จากความชอบของเราก็ได้นะคะ และอย่างน้อยเราจะพบว่าเรามีความสุขที่ได้ทำอีกครั้งค่ะ"

โดยแฟน ๆ สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารอัพเดทสถานการณ์ต่าง ๆ และกิจกรรมของช่อง 7HD ได้จากรายการต่าง ๆ ทางหน้าจอ และช่องทางโซเชียล Facebook, IG, Twitter : Ch7HD และเว็บไซต์ www.ch7.com
#3913


ไอบีเอ็ม วิเคราะห์เหตุการณ์ข้อมูลรั่วไหลที่เกิดกับองค์กรกว่า 500 แห่งทั่วโลก พบมูลค่าความเสียหายของเหตุด้านไซเบอร์ซิเคียวริตี้เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังจัดการยากขึ้น เพราะองค์กรมีการปรับรูปแบบการดำเนินงานครั้งใหญ่ อีกทั้งค่าใช้จ่ายยังเพิ่มขึ้นถึง 10% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

ปีที่แล้วองค์กรต่างถูกบีบให้ต้องปรับตัวและนำเทคโนโลยีมาใช้รวดเร็ว หลายบริษัทต้องให้พนักงานทำงานจากบ้าน ขณะที่องค์กร 60% ปรับงานสู่คลาวด์มากขึ้นช่วงแพร่ระบาด ผลศึกษาชี้ให้เห็นว่า ระบบซิเคียวริตี้ขององค์กรอาจยังปรับตัวตามระบบไอทีที่เปลี่ยนอย่างรวดเร็วไม่ทัน กลายเป็นอุปสรรครับมือเหตุข้อมูลรั่วไหลขององค์กร

รายงานมูลค่าความเสียหายของเหตุการณ์ข้อมูลรั่วไหลประจำปี ที่ดำเนินการโดยสถาบันโพเนมอน ภายใต้การสนับสนุนและวิเคราะห์โดยไอบีเอ็ม ซีเคียวริตี้ ระบุถึงเทรนด์สำคัญ ดังนี้

ผลกระทบจากการทำงานระยะไกล จะเห็นได้ว่าการปรับโหมดสู่การทำงานระยะไกลอย่างรวดเร็ว ทำให้มูลค่าความเสียหายจากเหตุการณ์ข้อมูลรั่วไหลสูงขึ้น เคสที่มีปัจจัยต้นเหตุมาจากการทำงานระยะไกล สร้างความเสียหายมากกว่า เคสทั่วไปที่ไม่มีปัจจัยดังกล่าวเข้ามาเกี่ยวข้องเฉลี่ยกว่า 35 ล้านบาท (มูลค่าความเสียหาย 162 ล้านบาท เทียบกับ 127 ล้านบาท) 

ความเสียหายจากข้อมูลเฮลธ์แคร์รั่วพุ่งสูง อุตสาหกรรมที่ต้องเผชิญความเปลี่ยนแปลงอย่างมากช่วงการแพร่ระบาด อย่างเฮลธ์แคร์ ค้าปลีก บริการ และการผลิต กระจายสินค้าอุปโภค-บริโภค ต้องเผชิญค่าใช้จ่ายจากเหตุข้อมูลรั่วเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เหตุข้อมูลรั่วในกลุ่มเฮลธ์แคร์สร้างความเสียหายมากสุด คือ 303 ล้านบาทต่อเคส ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 60 ล้านบาทต่อเคส เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

ข้อมูลรับรองตัวตนของบุคคลรั่ว นำสู่ข้อมูลรั่ว ข้อมูลรับรองตัวตนของบุคคลที่ถูกขโมย คือ ต้นเหตุข้อมูลรั่วไหลที่พบมากที่สุด ข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า (เช่น ชื่อ อีเมล และพาสเวิร์ด) คือ ชุดข้อมูลที่พบมากสุดในเหตุข้อมูลรั่วไหล หรือราว 44% ของเหตุที่เกิดขึ้น การที่ข้อมูลชื่อผู้ใช้และพาสเวิร์ดรั่วไปพร้อมกัน อาจนำสู่ผลที่ร้ายแรงกว่าที่คิด เพราะเป็นการเปิดช่องโจมตีในอนาคตให้กับอาชญากร

เทคโนโลยีก้าวล้ำลดมูลค่าความเสียหาย การนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ ซิเคียวริตี้ อนาไลติกส์ และการเข้ารหัสมาใช้ เป็นหนึ่งในสามปัจจัยหลักช่วยลดมูลค่าความเสียหายจากเหตุข้อมูลรั่วให้องค์กรได้ประมาณ 41-48 ล้านบาท เมื่อเทียบกับองค์กรที่ไม่ได้มีการนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้จริงจัง 

ทั้งนี้ พบว่า องค์กรที่ใช้แนวทางไฮบริดคลาวด์มีมูลค่าเสียหายจากเหตุข้อมูลรั่ว 118 ล้านบาท น้อยกว่ากลุ่มที่ใช้พับลิกคลาวด์เป็นหลัก (157 ล้านบาท) หรือกลุ่มที่ใช้ไพรเวทคลาวด์เป็นหลัก (149 ล้านบาท)

"คริส แมคเคอร์ดี" รองประธานและกรรมการผู้จัดการ ไอบีเอ็ม ซิเคียวริตี้ กล่าวว่า มูลค่าความเสียหายจากเหตุข้อมูลรั่วไหลที่พุ่งสูงขึ้นกลายเป็นภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นขององค์กร ขณะที่องค์กรเองต้องปรับตัวรวดเร็ว เพื่อนำเทคโนโลยีมาใช้ช่วงแพร่ระบาด 

"แม้มูลค่าความเสียหายจากเหตุข้อมูลรั่วไหล จะสูงเป็นประวัติการณ์ในปีที่ผ่านมา แต่ผลศึกษาชี้ให้เห็นแนวโน้มเชิงบวกจากการนำเทคโนโลยีซิเคียวริตี้ที่ก้าวล้ำเข้ามาใช้ ไม่ว่าจะเป็น เอไอ ออโตเมชัน หรือ zero trust เทคโนโลยีเหล่านี้อาจนำสู่มูลค่าความเสียหายที่ลดลงในอนาคต"

หลายองค์กรปรับตัวสู่การทำงานระยะไกล และเริ่มใช้คลาวด์มากขึ้น การที่สังคมหันพึ่งการปฏิสัมพันธ์ดิจิทัลเพิ่มช่วงแพร่ระบาด รายงานชี้ให้เห็นว่า ปัจจัยเหล่านี้ก่อให้เกิดผลกระทบ องค์กรเกือบ 20% ระบุว่า การทำงานระยะไกล คือ สาเหตุของข้อมูลรั่ว ซึ่งสร้างความเสียหายให้บริษัทถึง 162 ล้านบาท (สูงกว่าเหตุข้อมูลรั่วโดยเฉลี่ย 15%)

ข้อมูลรับรองตัวตนบุคคลรั่วไหล

รายงานยังชี้ว่า 82% ของกลุ่มบุคคลที่สำรวจยอมรับว่าใช้พาสเวิร์ดเดิมซ้ำในหลายแอคเคาท์ ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นต้นเหตุและผลลัพธ์หลักของเหตุข้อมูลรั่ว แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงให้กับธุรกิจต่างๆ ด้วย

ข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหล เกือบครึ่ง (44%) ของเหตุข้อมูลรั่วที่วิเคราะห์ เป็นต้นเหตุที่ทำให้ข้อมูลลูกค้าหลุดออกไป ไม่ว่าจะเป็นชื่อ อีเมล พาสเวิร์ด หรือแม้แต่ข้อมูลด้านสุขภาพ เหล่านี้เป็นชุดข้อมูลที่พบว่ามีการรั่วไหลมากที่สุด

ข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าสร้างมูลค่าความเสียหายสูงสุด การสูญเสียข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า มีมูลค่าความเสียหายสูงกว่าข้อมูลประเภทอื่นๆ (ราว 6,000 บาทต่อรายการ เทียบกับค่าเฉลี่ย 5,300 บาทของข้อมูลประเภทอื่น)

วิธีการโจมตีที่พบมากที่สุด การเจาะระบบด้วยข้อมูลรับรองตัวตนของบุคคลที่รั่ว คือวิธีการเริ่มต้นโจมตีที่อาชญากรใช้มากที่สุด นับเป็น 20% ของเหตุข้อมูลรั่วไหลที่ศึกษา

แม้การปรับเปลี่ยนระบบไอทีช่วงแพร่ระบาดจะนำสู่มูลค่าความเสียหายจากเหตุข้อมูลรั่วที่เพิ่มขึ้น แต่องค์กรที่ระบุว่าไม่ได้ดำเนินโครงการดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น คือ กลุ่มที่เผชิญกับมูลค่าความเสียหายจากเหตุข้อมูลรั่วสูงกว่า โดยสูงกว่าองค์กรอื่นประมาณ 24.6 ล้านบาทต่อเคส (16.6%)

องค์กรที่ระบุว่าใช้แนวทางซิเคียวริตี้แบบ Zero Trust มีความพร้อมรับมือเหตุข้อมูลรั่วไหลได้ดีกว่า โดย Zero Trust เป็นแนวทางบนพื้นฐานของสมมติฐานที่ว่า ทั้งข้อมูลระบุตัวตนของผู้ใช้และตัวเน็ตเวิร์คเองอาจถูกเจาะแล้ว ดังนั้นจึงใช้เอไอและอนาไลติกส์เข้ามาทำหน้าที่รับรองการเชื่อมต่อระหว่างผู้ใช้ ข้อมูล และทรัพยากรต่างๆ แทน องค์กรที่ใช้กลยุทธ์ Zero Trust มีมูลค่าความเสียหายจากเหตุข้อมูลรั่วเฉลี่ย 108 ล้านบาทต่อเคส ซึ่งต่ำกว่าองค์กรที่ไม่ได้ใช้แนวทางดังกล่าวราว 58 ล้านบาท

การลงทุนพัฒนาทีมและแผนตอบสนองต่อเหตุโจมตียังเป็นหนึ่งในแนวทางที่ช่วยลดมูลค่าความเสียหายจากเหตุข้อมูลรั่ว โดยองค์กรที่มีทีมรับมือเหตุโจมตีและมีการทดสอบแผนการรับมือ มีมูลค่าความเสียหายจากเหตุข้อมูลรั่วเฉลี่ย 106 ล้านบาท ขณะที่องค์กรที่ไม่มีทั้งทีมงานและแผนรับมือ ต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายจากเหตุข้อมูลรั่วเฉลี่ย 187 ล้านบาท (ต่างกัน 54.9%)

เป็นที่น่าสังเกตุว่า ครั้งนี้ เหตุข้อมูลรั่วไหลในอุตสาหกรรมเฮลธ์แคร์มีมูลค่าความเสียหายสูงสุด (ราว 303 ล้านบาทต่อเคส) ตามด้วยอุตสาหกรรมการเงิน (188 ล้านบาท) และเภสัชกรรม (165 ล้านบาท) โดยแม้กลุ่มอุตสาหกรรมค้าปลีก สื่อ บริการ และภาครัฐ จะมีมูลค่าความเสียหายต่ำกว่า แต่ถือว่ามีมูลค่าความเสียหายเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
#3914


นายธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการและใช้ความพยายามอย่างต่อเนื่องและแข็งขัน ตลอด 7 ปีที่ผ่าน กว่าจะประสบผลสำเร็จดังกล่าว โดยเฉพาะล่าสุดในการเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก สมัยสามัญ ครั้งที่ 44 (WHC 44) ของคณะผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ อย่างต่อเนื่องทุกวัน กว่า 2 สัปดาห์ ไม่เว้นวันหยุดราชการ ระหว่างวันที่ 16 – 31 กรกฎาคม 2564

ที่ประชุม WHC 44 ได้พิจารณาการขึ้นทะเบียนแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติและวัฒนธรรมแหล่งใหม่ จำนวนทั้งสิ้น 34 แหล่ง พิจารณารายงานสถานภาพการอนุรักษ์ (SoC) จำนวน 256 แหล่ง และรับรองข้อตัดสินใจ จำนวน 332 ข้อ

เมื่อวันที่ 26 กรกฏาคม 2564 วาระการขึ้นทะเบียนกลุ่มป่าแก่งกระจาน (KKFC) ได้รับการพิจารณา และที่ประชุม WHC 44 มีมติเห็นชอบขึ้นทะเบียนกลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลก ภายใต้เกณฑ์ข้อ 10 ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ โดยได้ตระหนักถึงความสำคัญและคุณค่าความโดดเด่นอันเป็นสากล (Outstanding Universal Values – OUV) ของผืนป่ากลุ่มป่าแก่งกระจาน และเล็งเห็นความมุ่งมั่นของไทยในการส่งเสริมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และความพยายามผลักดันการขึ้นทะเบียนอย่างต่อเนื่องและแข็งขันในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา รวมทั้งการปฏิบัติตามข้อมติและข้อแนะนำของที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกอย่างครบถ้วน ได้แก่ การส่งเสริมการรับรู้และการมีส่วนร่วมของชุมชนในการขึ้นทะเบียน และการปรับขอบเขตพื้นที่นำเสนอตามที่หารือกับเมียนมา

นอกเหนือจากความสำเร็จในครั้งนี้แล้ว ที่ประชุม WHC 44 ยังมีมติเลือกไทยเป็นหนึ่งในรองประธานการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก สมัยสามัญ ครั้งที่ 45 (WHC 45) ภายใต้การดำรงตำแหน่งประธานของรัสเซีย โดยการประชุม WHC 45 จะจัดขึ้น ณ เมืองคาซาน ประเทศรัสเซีย ซึ่งถือเป็นเกียรติยศและความมั่นใจที่ไทยได้รับจากเวทีการประชุมระดับชาติอีกด้วย

กระทรวงการต่างประเทศ โดยกรมองค์การระหว่างประเทศ ขอขอบคุณกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสถานเอกอัครราชทูตไทยที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปารีส และนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ผู้แทนไทยในคณะกรรมการมรดกโลก ที่ทำงานอย่างแข็งขัน "ในการหาเสียงสนับสนุนจากประเทศสมาชิกคณะกรรมการมรดกโลก 20 ประเทศ" 


นายสีหศักดิ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาประเทศไทย ได้มีการจัดการดูแลความเป็นอยู่ของชนกลุ่มน้อยในพื้นที่เป็นอย่างดี และทุกคนก็มีความเป็นอยู่ดีขึ้นตามลำดับ โดยรัฐบาลไทยได้ดำเนินการทุกอย่างตามคำแนะนำที่ไอยูซีเอ็น และประเทศอื่นๆ ที่แสดงความเป็นห่วงติติง จากการประชุมครั้งที่ผ่านมาเป็นอย่างดีแล้ว

หลังจากนั้น ก็มีผู้แทนจากประเทศ อียิป เอธิโอเปีย และประเทศโอมานขึ้นกล่าวสนับสนับสนุนให้ป่าแก่งกระจานได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก โดยผู้แทนจากประเทศโอมานระบุว่า ประเทศไทย เป็น 1 ใน 5 ของโลกที่มีการจัดการพื้นที่ป่าเป็นอย่างดี และมีผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ โดยมีพืชและสัตว์ป่าที่มีความสำคัญมากกว่า 700 ชนิด

สื่อต่างประเทศ รายงานว่า ประเทศภาคีสมาชิกอื่นๆ ที่สนับสนุนให้กลุ่มป่าแก่งกระจานขึ้นเป็นมรดกโลก ได้แก่ จีน ซาอุดีอาระเบีย สเปน ออสเตรเลีย มาลี บราซิล ไนจีเรีย เมียนมา และกัวเตมาลา

อย่างไรก็ตาม ทีมประเทศไทยต้องขอขอบคุณมิตรประเทศสมาชิกคณะกรรมการมรดกโลกที่ให้การสนับสนุนการขึ้นทะเบียนกลุ่มป่าแก่งกระจานของไทย

นายธานี กล่าวย้ำว่า กระทรวงการต่างประเทศยืนยันความมุ่งมั่นของไทย ที่จะทำงานร่วมกับศูนย์มรดกโลกในการดูแลรักษาแหล่งมรดกโลก และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนในการบริหารและอนุรักษ์พื้นที่ พร้อมทั้งพัฒนาความเป็นอยู่ของชุมชนในพื้นที่ต่อไป ตลอดจนมุ่งส่งเสริมแนวคิด "Sustainability of Things" หรือการปรับกระบวนทัศน์ในการดำรงชีวิตให้มีความยั่งยืนมากขึ้น เสริมสร้างสังคมที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง และส่งเสริมความสมดุลระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ

https:// www.bangkokbiznews.com/news/detail/952233
#3915


เมืองชายฝั่งทั่วเอเชีย ได้แก่ ฮ่องกง โตเกียว จาการ์ต้า โซล ไทเป มะนิลา และกรุงเทพฯ กำลังเผชิญกับความเสี่ยงจากน้ำท่วมที่มากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลและพายุหมุนเขตร้อนที่เข้มข้นมากขึ้น

รายงานของกรีนพีซ เอเชียตะวันออก คาดการณ์ว่าภายในปี 2573 ประชาชนกว่า 15 ล้านคนใน 7 เมือง อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อน้ำท่วม การวิเคราะห์ครั้งนี้เป็นหนึ่งในการวิเคราะห์ครั้งแรกที่ใช้ข้อมูลเชิงพื้นที่ที่มีความละเอียดสูงในการระบุถึงพื้นที่ของเมืองที่อาจได้รับผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล และขอบเขตของผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

เมืองชายฝั่งทั่วเอเชียกำลังเผชิญกับความเสี่ยงจากน้ำท่วมที่มากขึ้นเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลและพายุโซนร้อนที่เข้มข้นมากขึ้น คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ(IPCC) เตือนว่า การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ระหว่าง 0.43-0.84 เมตรภายในปี พ.ศ.2643 (IPCC, 2019) ขณะเดียวกัน ตลอดศตวรรษที่ 21 พายุมีความเร็วลมรุนแรงซึ่งสร้างความเสียหายมากขึ้น คลื่นพายุซัดฝั่งที่สูงขึ้น และปริมาณน้ำฝนที่มีสภาวะสุดขีดมากกว่าในอดีต (Knutson et al., 2020)

คิม มีกยอง ผู้จัดการโครงการภาวะฉุกเฉินด้านสภาพภูมิอากาศ กรีนพีซ เอเชียตะวันออก กล่าวว่า "ภายในทศวรรษนี้ เมืองที่อยู่ติดชายฝั่งในเอเชียจะมีความเสี่ยงสูงจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลและพายุที่เข้มข้นรุนแรงขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อบ้านเรือน ความปลอดภัย และวิถีชีวิตของผู้คน นอกจากเหลือเวลาไม่มากในการยุติโครงการเชื้อเพลิงฟอสซิลทั้งหมด รัฐบาลแต่ละประเทศจะต้องดำเนินการระบบบริหารจัดการน้ำท่วมและการแจ้งเตือนล่วงหน้าเพิ่มมากขึ้น ปฏิบัติการด้านสภาพภูมิอากาศในปัจจุบัน ซึ่งรวมถึงเป้าหมายภายใต้แผนที่นำทางก๊าซเรือนกระจกของประเทศ (nationally determined contribution targets) นั้นไม่เพียงพอที่จะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากน้ำท่วมชายฝั่งในสภาวะสุดขีด"

นอกจากอินโดนีเซีย และไทเป อีกหลายเมืองในเอเชียที่จะได้รับผลกระทบเช่นกัน เช่น จาการ์ตา โตเกียว ฮ่องกง โซล มะนิลา รวมทั้งกรุงเทพมหานครด้วย

เราเลือกเมือง 7 แห่งในเอเชียที่เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและตั้งอยู่บนชายฝั่งหรือใกล้ชายฝั่งเพื่อวิเคราะห์ถึงผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ว่าจะได้รับผลกระทบอย่างไรจากน้ำท่วมชายฝั่ง(coastal flooding) ในปี พ.ศ.2573 ตามภาพฉายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นไปตามปกติ (business as usual) การวิเคราะห์ของเราชี้ให้เห็นว่าวิกฤตสภาพภูมิอากาศอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของเมืองต่างๆ ที่อยู่ในรายงานนี้ ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งทศวรรษ เว้นแต่เราจะลงมือทำในทันทีเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงอย่างรวดเร็ว

จากปฏิบัติการด้านสภาพภูมิอากาศในปัจจุบัน ซึ่งรวมถึงเป้าหมายภายใต้แผนที่นำทางก๊าซเรือนกระจกขอประเทศ(nationally determined contribution targets) นั้นยังไม่เพียงพอที่จะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากน้ำท่วมชายฝั่งแบบสภาวะสุดขีด รัฐบาลและบรรษัทต่างๆ ต้องลงมือทำอย่างเป็นรูปธรรมให้เร็วขึ้น เช่น ยุติการสนับสนุนทางการเงินให้กับอุตสาหกรรมถ่านหินและเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบพลังงานหมุนเวียนที่สะอาด เพื่อป้องกันมิให้อุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกเพิ่มมากไปกว่า 1.5 องศาเซลเซียส

ข้อมูลอ้างอิง Greenpeace Thailand
อ่านรายงานฉบับเต็มได้ที่ >> https:// act.gp/2Tf58WS
#3916



"สิงห์ผงาด" แอสตัน วิลล่า บรรลุข้อตกลง 30 ล้านปอนด์จ่อคว้า ลีออน เบลี่ย์ ตัวเดินเกมริมเส้นทีมชาติจาไมก้า คาดเพื่อมาแทน แจ๊ค เกรียลิช ที่กำลังจะย้ายไป "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้

ขั้นตอนจากนี้เหลือแค่ เบลีย์ เจรจาเงื่อนไขสัญญาส่วนตัวกับค่าเหนื่อยก็พร้อมเดินทางมาตรวจร่างกายกับถิ่น มิดแลนด์ หลังจาก ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ยอมรับข้อเสนอที่จะขายเรียบร้อยแล้ว

เบลีย์ ได้รับความสนใจจากหลายทีมบนเวที พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ แต่สุดท้ายเป็น วิลล่า ที่กำลังจะได้ตัว โดยที่ผ่านมาปีกวัย 23 ปีซัดไป 28 ประตูจาก 119 นัดในการเล่น บุนเดสลีกา เยอรมัน ให้กับ เลเวอร์คูเซ่น

เบลีย์ จะกลายเป็นนักเตะรายที่ 3 ของ วิลล่า ในช่วงซัมเมอร์นี้ต่อจาก เอมิเลียโน บูเอ็นเดีย ปีกวัย 24 ปีชาวอาร์เจนไตน์ ที่ย้ายจาก นอริช ซิตี้ ด้วยค่าตัว 38 ล้านปอนด์ กับ แอชลีย์ ยัง ตัวริมเส้นสารพัดประโยชน์วัย 36 ปีที่คืนถิ่นเก่า หลังหมดสัญญากับ อินเตอร์ มิลาน

หากได้ตัว เบลีย์ ถือว่า วิลล่า เสริมทัพได้เข้าตาดีทีเดียว โดยจะเข้ามาปั้นเกมแทน เกรียลิช กัปตันทีมที่เมื่อไม่กี่วันมานี้ทีมเพิ่งได้ข้อเสนอก้อนโตจาก แมนฯซิตี้ เป็นค่าตัว 100 ล้านปอนด์
#3917
ซื้อ Line sticker ใครๆ ก็ซื้อได้ง่ายนิดเดียวhttps://www.chatstickmarket.com/single-post/buylinesticker-everyonecanbuyiteasily

#3918



ผู้หญิงคนหนึ่งถูกยึดรถ หลังถูกตรวจจับได้ว่าซิ่้งด้วยความเร็วสูงสุด 130 ไมล์ต่อชั่วโมง (ราว 209 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) บนถนนสาย M1 ในอังกฤษ จากการเปิดเผยของตำรวจดาร์บีเชียร์เมื่อวันเสาร์ (31 ก.ค.)

คนขับเมอร์เซเดส จี วากอน ถูกเรียกให้จอดบริเวณทางแยกแห่งหนึ่งเมื่อคืนวันอังคาร (27 ก.ค.) หลังถูกกล้องบันทึกได้ว่าซิ่งด้วยความเร็วเฉลี่ย 113 ไมล์ต่อชั่วโมง (ราว 181 กิโลเมตรต่อชั่วโมง)

เธออ้างกับตำรวจว่าที่ต้องขับรถเร็วเพราะอั้นไม่ไหวต้องการเข้าห้องน้ำอย่างแรง อย่างไรก็ตาม ตำรวจตั้งข้อสังเกตว่าเธอขับรถด้วยความเร็วแล่นผ่านสถานีบริการแห่งหนึ่งมา โดยไม่ได้แวะจอดใดๆ

ยิ่งไปกว่านั้น จากการตรวจสอบพบว่าผู้หญิงนี้ยังขับรถโดยปราศจากผู้ดูแล ทั้งที่เธอมีแค่ใบอนุญาตขับรถชั่วคราวเท่านั้น

ตำรวจดาร์บีเชียร์เขียนบนทวิตเตอร์ว่า "ผู้ถือครองใบอนุญาตชั่วคราวที่ไม่มีผู้ดูแลมาด้วยรายนี้ อ้างว่าเธอขับรถเร็วเพราะเธออยากเข้าห้องน้ำ เร็วเสียจนขับเลยสถานีบริการ"

"เธอใช้ความเร็วต่างๆ นานา ระหว่าง 100 ถึง 130 ไมล์ต่อชั่วโมง (160 ถึง 209 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) และวัดความเร็วเฉลี่ยได้ที่ 113 ไมล์ต่อชั่วโมง (ราว 181 กิโลเมตรต่อชั่วโมง)" ตำรวจระบุ

ถ้อยแถลงระบุว่า ตำรวจได้ทำการยึดรถคันดังกล่าว แต่ไม่ได้เผยว่าผู้หญิงรายนี้ถูกลงโทษใดๆ หรือไม่อย่างไร

(ที่มา : บีบีซี/อินดิเพนเดนท์) https:// m.mgronline.com/around/detail/9640000075093
#3919


เริ่มปูพรมฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ทั่วประเทศแล้ว ในขณะที่หลายคนกังวลใจถึงประสิทธิภาพของวัคซีน ผลการศึกษาจากสถาบันวิจัยสุขภาพชั้นนำของโลกบ่งชี้ว่า การออกกำลังกายช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานมีประสิทธิภาพขึ้น และมีแนวโน้มช่วยให้ร่างกายเพิ่มภูมิคุ้มกันมากขึ้น 50% หลังฉีดวัคซีน

"ดร.ร็อบ นิวตัน" ศาสตราจารย์ด้านเวชศาสตร์การออกกำลังกายจากมหาวิทยาลัยเอดิธ โคแวน ยูนิเวอร์ซิตี้ ประเทศออสเตรเลีย บ่งชี้ว่า การฉีดวัคซีนทำให้เกิดการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน แต่เนื่องจากเราจะมีเซลล์ภูมิคุ้มกันเหล่านี้มากขึ้นเมื่อออกกำลังกาย การออกกำลังกายสม่ำเสมอจึงช่วยให้การตอบสนองทรงพลังมากขึ้น สอดคล้องกับ "ดร.โรเบิร์ต อี" แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวและการกีฬา จากศูนย์การแพทย์ "ไคเซอร์เพอร์มาเนนต์ ฟอนตานา" รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เผยว่า ผู้ใหญ่ที่ออกกำลังกายอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ หรือเดิน 30 นาทีต่อวัน ต่อเนื่อง 5 วันต่อสัปดาห์ จะช่วยลดความเสี่ยงในการป่วยและเสียชีวิตด้วยโรคติดเชื้อ 37% อีกทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพหลังฉีดวัคซีน

ผลการวิจัยของ "กลาสโกว์ คาเลโดเนียน ยูนิเวอร์ซิตี้" มหาวิทยาลัยใหญ่ที่สุดของสกอตแลนด์ สหราชอาณาจักร พบว่า การออกกำลังกายเป็นประจำ ส่งผลให้ระดับแอนติบอดี้ อิมมูโนโกลบูลิน เอ (IgA) สูงขึ้น ซึ่งแอนติบอดี้นี้ทำหน้าที่ต่อต้านการติดเชื้อ โดยยับยั้งการเกาะติดของแบคทีเรียและไวรัสกับเซลล์เยื่อบุผิว จึงเป็นเสมือนเกราะป้องกันปอดและอวัยวะอื่นๆในร่างกาย ตอกย้ำว่าการออกกำลังกายสม่ำเสมอจะช่วยเพิ่มจำนวนเซลล์ CD4+T ซึ่งมีบทบาทในการต่อสู้กับเชื้อโรคและกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

ด้าน "ศาสตราจารย์จิม ซัลลิส" จากสถาบันวิจัยสุขภาพ "แมรี่ แมคคิลลอป" มหาวิทยาลัยออสเตรเลียน คาทอลิก ยูนิเวอร์ซิตี้ วิจัยถึงความเชื่อมโยงกันระหว่างการออกกำลังกายกับความสามารถในการป้องกันโควิด-19 ค้นพบว่า การออกกำลังกายสม่ำเสมอ ช่วยลดความรุนแรงจากการติดเชื้อโควิด-19 โดยเฉพาะอัตราการเสียชีวิตที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงยังพบว่าอัตราการเข้ารักษาตัวในห้องไอซียูของผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำอยู่ในระดับต่ำกว่ากลุ่มคนที่ออกกำลังกายน้อยกว่า 10 นาทีต่อสัปดาห์


จะเตรียมความพร้อมยังไง ก่อนฉีดวัคซีนโควิด-19 เพื่อให้การฉีดวัคซีนมีประสิทธิภาพสูงสุด "ฟิตเนส เฟิร์สต์ ประเทศไทย" มีเทคนิคแนะนำ

1) ช่วง 2 วันก่อน และหลังการฉีดวัคซีน ควรงดออกกำลังกายหนัก เช่น คาร์ดิโอ, แอโรบิก และยกเวท

2) ควรดื่มน้ำอย่างน้อย 500-1,000 ซีซี

3) งดเครื่องดื่มคาเฟอีนและแอลกอฮอล์

4) นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ 7-8 ชั่วโมง

5) หากมีไข้สูงก่อนฉีดวัคซีน ควรเลื่อนนัด

6) หากมีโรคประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับวัคซีน

7) หลังฉีดวัคซีนให้รอดูอาการ 30 นาที ถ้ามีไข้ปวดเมื่อยมาก สามารถกินยาพาราฯ 500 มิลลิกรัม ครั้งละหนึ่งเม็ด ทุก 6 ชั่วโมง

8) ถ้ากินยาละลายลิ่มเลือดอยู่ให้กินตามปกติ แต่เมื่อฉีดวัคซีนแล้วให้กดตำแหน่งที่ฉีดต่ออีก 1 นาที.

https:// www.thairath.co.th/lifestyle/health-and-beauty/2113595
#3920



นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลังเปิดเผยรายงานดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาคประจำเดือนก.ค.2564ว่า จากการประมวลผลข้อมูลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจรายจังหวัดจากสำนักงานคลังจังหวัด76 จังหวัดทั่วประเทศสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยเพื่อจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค(RSI)พบว่า ดัชนี RSI เดือนดังกล่าวปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าทุกภูมิภาค เนื่องจาก ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 อย่างไรก็ดี ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคเหนือ ยังมีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจที่ดีขึ้นในอนาคต

ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคใต้อยู่ที่ระดับ 46.8 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจที่ปรับตัวชะลอลง แต่ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคเกษตร เนื่องจาก ปริมาณผลผลิตทางการเกษตรที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เช่น มังคุด และทุเรียน เป็นต้น

ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันตกอยู่ที่ 41.7 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจที่ชะลอลงเช่นกัน แต่ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคเกษตรซึ่งยังมีแนวโน้มความเชื่อมั่นที่ดีขึ้นเนื่องจาก เข้าสู่ฤดูการเก็บเกี่ยวข้าว และคาดว่า จะมีความต้องการสินค้าเกษตรภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น

ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท
ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของ กทม. และปริมณฑลอยู่ที่ 40.2 สะท้อนความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคการลงทุนและการจ้างงานที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้ต้องลดปริมาณการผลิต และลดชั่วโมงการทำงานลง

ในส่วนของดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของภาคกลางอยู่ที่ระดับ 37.7 สะท้อนภาวะอนาคตเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง เนื่องจาก ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เช่นกันโดยเฉพาะในภาคการลงทุน ส่งผลให้ผู้ประกอบการชะลอการลงทุนลง

ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนืออยู่ที่ระดับ 57.6 แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่มีทิศทางที่ดีขึ้น โดยเฉพาะภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรม เนื่องจาก เข้าสู่ช่วงฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิตพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น ข้าวนาปี อ้อยโรงงานและมันสำปะหลัง

ประกอบกับ การสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐในการช่วยเหลือเกษตรกรสำหรับภาคอุตสาหกรรมคาดว่าความต้องการสินค้าอุตสาหกรรมจะเพิ่มขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ

กลุ่มป่า 'แก่งกระจาน' มรดกโลกแห่งใหม่ของไทย
เอกชนชงรัฐเร่งสกัดโควิด บูรณะแหล่งท่องเที่ยว"อีอีซี"
'ดูดวง' สิงหาคม 2564 ตามหลักโหราศาสตร์จีน กับซินแสนัตโตะ
ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันออกอยู่ที่ระดับ 56.1แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่ดีขึ้นเช่นกัน โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรม เนื่องจาก สภาพภูมิอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการทำการเกษตร ส่งผลให้มีแนวโน้มผลผลิตที่เพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีความต้องการสินค้าเกษตรจากตลาดในประเทศที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย ในส่วนของภาคอุตสาหกรรมคาดว่า ความต้องการสินค้าอุตสาหกรรมในตลาดต่างประเทศจะเพิ่มสูงขึ้นตามการส่งออกของไทยมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น

ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของภาคเหนืออยู่ที่ระดับ 51.7สะท้อนถึงความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจในอนาคตที่ดีขึ้น โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรรม เนื่องจาก ปริมาณน้ำมีเพียงพอต่อการเพาะปลูก ประกอบกับการเริ่มเข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยวพืชเศรษฐกิจสำคัญ เช่น ลำไย และน้อยหน่า เป็นต้น สำหรับภาคอุตสาหกรรม คาดว่า ความต้องการสินค้าอุตสาหกรรมภายในประเทศจะเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ ค่าดัชนีอยู่ในช่วง 0-100 > 50 แนวโน้มความเชื่อมั่น "ดีขึ้นกว่าปัจจุบัน" , < 50 แนวโน้มความเชื่อมั่น "ชะลอกว่าปัจจุบัน" , = 50 แนวโน้มความเชื่อมั่น "ทรงตัว"