• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - Panitsupa

#8356
 


Kato Academy [Marketing Media Prodction]
สอนการตลาดออนไลน์ สอนยิงโฆษณา Facebook Ads ตัวต่อตัว, Line OA, Chatbot, Website Salepage, Pixel Code, ยิงแอด Conversion
สอนผลิตสื่อโฆษณา สอนถ่ายรูป ตกแต่งรูป สอน Photoshopตัวต่อตัว , Lightroom, Illustrator, โปรแกรมตัดต่อวีดีโอ PremiereKato Academy [Marketing Media Prodction]
สอนการตลาดออนไลน์ สอนยิงโฆษณา Facebook Ads ตัวต่อตัว, Line OA, Chatbot, Website Salepage, Pixel Code, ยิงแอด Conversion
สอนผลิตสื่อโฆษณา สอนถ่ายรูป ตกแต่งรูป สอน Photoshopตัวต่อตัว , Lightroom, Illustrator, โปรแกรมตัดต่อวีดีโอ Premiere

หลักสูตร สอนเฟสบุ๊ค ตัวต่อตัว/กลุ่ม [พื้นฐาน-ขั้นสูง] [10.00-16.00น.] ไม่เป็นไม่กลับ
- สอนพื้นฐานของเฟสบุ๊ค และการตั้งค่าต่างๆที่ควรรู้ ก่อนทำธุรกิจ
- สอนสร้างเพจเฟสบุ๊คยังไงให้น่าโดนใจกลุ่มเป้าหมาย
- สอนเช็คข้อความและรูปภาพใน Facebook ลดปัญหาการทำงานที่เสียเวลา
- รู้ทันกับกฎระเบียบต่างๆในการสร้างโฆษณาเฟสบุ๊ค 
-  วิธีการนำเพื่อนหรือ พนักงานเข้ามาช่วยบริหารในเพจเฟสบุ๊ค ลดความเสี่ยงจากการโดยยึดเพจ
- สอนการสร้างบัญชีธุรกิจ โดยไม่ต้องใช้บัญชีส่วนตัวในการยิง เลี่ยงการถูกปิดบัญชี
- สอนวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายด้วยสถิติ [ผู้สอนจบโทด้านงานวิจัยสถิติโฆษณาโดยตรง]
 - สอนดูคู่แข่งเพื่อมาวิเคราะห์ และพัฒนาสินค้าของตัวเองอย่างมืออาชีพ
- สอนสร้างกลุ่มเป่าหมาย แบบตีวง ล้อมคอก เพื่อเผด็จศึก
- สอนสร้างกลุ่มเป้าหมายในต่างประเทศ
- สอนการยิงแอดเฟสบุ๊คแบบ การมีส่วนร่วม, การเพิ่มยอดไลค์, วีดีโอและข้อความ เชิงลึกแบบเป็นระบบ วิเคราะห์เห็นภาพ
- สอนยิงแอดแบบไม่ให้คู่แข่งดึงข้อมูลของเราได้
- สอนการสร้างกลุ่มเป้าหมาย การตั้งค่ายิงแอดบน Instagram
- A/B Testing (การทดสอบเปรียบเทียบคุณภาพการเข้าถึงของโฆษณา)
- สอนสร้าง Lookalike Audience เพื่อหาลูกค้าที่มีพฤติกรรมคล้ายคลึงกัน เชิงสถิติ
- การวางแผน สร้างระบบข้อความตอบกลับอัตโนมัติ(Chatbot) ในกล่องข้อความเฟสบุ๊ค
- วิธีใช้ เครื่องมือสร้างข้อความตอบกลับอัตโนมัติ(Chatbot)เพื่อปิดการขาย
- วิธีการตั้งค่าการชำระเงิน /การออกใบเสร็จรับเงิน จากเฟสบุ๊ค
- สอนให้วิเคราะห์เพจของผู้เรียนแบบมืออาชีพ แบบยั่งยืนไม่โดนหลอก
- Workshop เพื่อศึกษาสินค้าหรือ วิเคราะห์สินค้าว่ามีส่วนไหนที่ควรพัฒนา

หมายเหตุ :การสอนอาจจะเลยเวลาที่กำหนด เพื่อประโยชน์ของผู้ลงเรียน

Facebook :https://www.facebook.com/katostock
- สอนตัวต่อตัว / กลุ่ม / ออนไลน์
- หลังจบ สามารถโทรปรึกษาได้ตลอด
ประวัติผู้สอน
ตรี-ออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
โท-จิตวิทยาการสื่อสาร & โฆษณา
ประสบการณ์ด้านการตลาด-โฆษณา-ผลิต 20 ปี
ผลงานผู้สอนคลิก : https://katoacademy.com/profile_kato

วัตถุประสงค์ของผู้สอนในการเปิดสอน ?
1. ต้องการผลัดดันผู้ที่เรียน หรือผู้ประกอบการ นำเครื่องมือต่างๆมา สร้างผลงานใหม่ๆ หรือสินค้าใหม่ๆ
2. เพื่อต้องการให้ผู้เรียนในแต่ละคอส ได้คิดนอกกรอบ มากกว่าสิ่งที่มีอยู่ในโปรแกรมที่สอน
3. เพื่อนำความรู้ไปพัฒนาองค์กร ด้วยระบบความคิดที่เป็นกระบวนการ

#สอนเฟสบุ๊ค #สอนเฟสบุ๊คตัวต่อตัว #สอนการตลาดออนไลน์ #สอนถ่ายรูป #สอนโฟโต้ช๊อป


 

 

 
 
#8357


ใกล้จะถึงเทศกาลวันแม่เข้าไปทุกที แต่สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ยังคงน่ากังวล หลายคนเลยต้องแตะเบรกยกเลิกกิจกรรมฉลองวันแม่ ไม่ว่าจะเป็นทริปพาคุณแม่เที่ยว รับประทานอาหารกับครอบครัวที่ร้านโปรด หรือพาคุณแม่ไปช้อปปิ้งนอกบ้านได้เหมือนปีที่ผ่านๆ มา ทำให้หวนคิดถึงบรรยากาศวันแม่แบบเดิมอยู่ไม่น้อย ลาซาด้าจึงขอชวนสองหนุ่มหล่ออย่าง "บิวกิ้น พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล" และ "พีพี กฤษฏ์ อำนวยเดชกร" มาส่งแรงใจคูณสองให้กับทุกคน พร้อมชวนช้อปไอเทมออนไลน์สุดคุ้มค่า เป็นของขวัญเซอร์ไพรส์คุณแม่เนื่องในโอกาสวันแม่ที่กำลังจะมาถึง กับแคมเปญ Lazada 8.8 Super Saving Day ในวันที่ 8 สิงหาคม 2564 นี้เท่านั้น

เหล่าสาวกนักช้อปคงรู้กันดีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นแคมเปญไหนๆ ลาซาด้าก็ขนดีลเด็ด พร้อมโปรโมชั่นจัดหนักมาให้ช้อปเป็นประจำ พิเศษสุด! สำหรับเดือนสิงหาคมนี้ ลาซาด้าชวนสร้างความประทับใจให้คุณแม่แบบ New Normal ที่ไม่ต้องออกจากบ้านก็หาของขวัญเซอร์ไพรส์คุณแม่ได้ง่ายๆ เตรียมพบกับส่วนลดสูงสุดกว่า 80% พร้อมรับลาซาด้าโบนัส 30 บาท เมื่อซื้อครบทุกๆ 400 บาท และลด 100 บาท เมื่อซื้อครบทุกๆ 1,500 บาท และไม่ว่าจะช้อปจากที่ไหน ลาซาด้าก็มีคูปองส่งฟรีทั่วไทยอีกด้วย โปรเด็ดคุ้มหลายต่อขนาดนี้ กดสินค้าที่คุณแม่ต้องปลื้มเข้ารถเข็นไว้ให้พร้อม

"พีพี กฤษฏ์" เผยว่า "ช่วงนี้ไม่ได้ไปไหนเลยครับถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ได้มีเวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น ที่สำคัญตอนนี้ใกล้เทศกาลวันแม่แล้วด้วย สำหรับผมจริงๆ คือทุกวันอยู่แล้ว เพราะผมกับคุณแม่ค่อนข้างสนิทกันมาก ปกติจะชอบหาของขวัญมาเซอร์ไพรส์คุณแม่ทุกเทศกาลอยู่แล้ว ยิ่งลาซาด้ากำลังจะมี แคมเปญ 8.8 ลดจัดหนักมาก ผมเลยไปลองดูสกินแคร์ที่คุณแม่ชอบเอาไว้ ว่าจะกดสั่งมาให้ช่วงแคมเปญ 8.8 นี้แหละ คุณแม่น่าจะแฮปปี้กับของขวัญที่ผมเตรียมนะครับ เพราะได้ใช้เป็นประจำแน่นอน"

ส่วนหนุ่ม "บิวกิ้น พุฒิพงศ์" กล่าวว่า "ตอนนี้ผมมีเวลาอยู่บ้านมากขึ้น ทำให้มีเวลาเรียนรู้และค้นพบความสามารถในด้านอื่นของตัวเอง อย่างการชงกาแฟ ผมซื้อเอสเพรสโซ่แมชชีนมาลองทำเอง เรียนรู้การใช้อุปกรณ์ ทดลองและฝึกเทคนิคยากๆ ในการทำกาแฟให้หอมอร่อย โดยมีคุณแม่เป็นกรรมการคอยช่วยติชมและมีประสบการณ์ร่วมกับเราตลอด วันแม่ปีนี้ก็คงพิเศษไม่แพ้ทุกปีครับ ได้ชงกาแฟดีๆ ให้คุณแม่ดื่ม ถ้าคุณแม่อยากได้อุปกรณ์เครื่องครัวมาทำอาหารชิ้นไหนเราก็สั่งจากลาซาด้าให้มาส่งที่บ้านเลย เพราะในลาซาด้ามีครบทุกอย่างจริงๆ แถมกำลังจะมีแคมเปญ 8.8 ขนดีลเด็ดมาไม่อั้นอีกด้วย ใครมีแพลนกำลังหาของขวัญให้คุณแม่อยู่ ห้ามพลาดนะครับ" 
เห็นสองหนุ่มบิวกิ้น-พีพี เตรียมตัวหาของขวัญเซอร์ไพรส์วันแม่กันแล้ว แฟนคลับของสองหนุ่มต้องรีบมาช้อปปิ้งเลือกของขวัญให้คุณแม่กันบ้างแล้วล่ะ กับ Lazada 8.8 Super Saving Day คุ้มหลายต่อ ลดแล้ว ลดได้อีก ในวันที่ 8 สิงหาคม 2564 นี้เพราะนอกจากดีลแจกส่วนลดแบบจุกๆ แล้ว ลาซาด้ายังร่วมกับแบรนด์สินค้าชั้นนำจาก LazMall ที่การันตีแบรนด์แท้ราคาดี ส่งฟรีถึงบ้านคุณ พร้อมรับประกันคืนสินค้าภายใน 15 วัน มามอบดีลและโปรโมชั่นสุดพิเศษ ลดแร๊งแรง! พร้อมของสมนาคุณมากมาย กับ Crazy Brand Mega Offer เฉพาะ 2 ชั่วโมงแรก ตั้งแต่เที่ยงคืน - ตี 2 เท่านั้น และยังใช้ส่วนลดได้ถึง 6 ต่อ งานนี้พลาดไม่ได้แล้ว! รายละเอียดเพิ่มเติม คลิก https:// bit.ly/2TjIdtk
#8359


เอกสารไวท์เปเปอร์ที่ Tencent (เทนเซ็นต์) บริษัทอินเทอร์เน็ตชั้นนำของโลก สร้างสรรค์ร่วมกับ Newzoo (นิวซู) ผู้ให้บริการชั้นนำด้านข้อมูลเชิงลึกของเกมและอีสปอร์ต เผยว่า อีสปอร์ตที่กำลังมาแรงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ช่วยให้เกิดโมเดลธุรกิจที่สร้างสรรค์ พร้อมสร้างโอกาสทางอาชีพใหม่ขึ้นภายในภูมิภาค

ข้อมูลจาก Newzoo (นิวซู) ระบุว่า อัตราการเติบโตแบบทบต้นต่อปี (CAGR) ของรายได้จากอีสปอร์ตในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีการคาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ +20.8 (จากปี 2562 ถึงปี 2567) และมีแนวโน้มทำรายได้ถึง 72.5 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2567 อัตราการเติบโตนี้เป็นการโตเกือบสองเท่าเมื่อเทียบกับการเติบโตของรายได้จากอีสปอร์ตของทั่วโลกซึ่งมีอัตราการเติบโตแบบทบต้นต่อปี (CAGR) ที่ร้อยละ +11.1

เอกสารไวท์เปเปอร์ที่จัดทำขึ้นภายใต้หัวข้อ "เกมและอีสปอร์ต: กีฬาที่แท้จริง (Games & Esports: Bona Fide Sports)" ได้ตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อเทียบกับประเทศที่เศรษฐกิจพัฒนาแล้วในแถบอเมริกาเหนือและยุโรปตะวันตก ซึ่งเป็นถิ่นที่อีสปอร์ตเติบโตขึ้นมาจากการที่มีโครงสร้างทางไอทีที่พัฒนากว่า การเติบโตของตลาดอีสปอร์ตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นเกิดจากความนิยมในการเล่นเกมบนโทรศัพท์มือถือที่คนทั่วไปมีกำลังซื้อได้มากกว่า โดยการศึกษาผู้บริโภคเชิงลึกในปี 2564 ที่ Newzoo (นิวซู) ได้สำรวจความคิดเห็นของผู้เข้าร่วมตอบคำถามจากแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แสดงให้เห็นว่าร้อยละ 82 ของประชากรออนไลน์ในภูมิภาคนี้เล่นเกมบนโทรศัพท์มือถือ ในขณะที่ร้อยละ 39 ของผู้เข้าร่วมตอบคำถามเป็นผู้เล่นที่ใช้ โทรศัพท์มือถือเป็นตัวเลือกอันดับแรกในการเล่นเกม และใช้เวลาส่วนใหญ่เล่นเกมบนโทรศัพท์มือถือ

ในงานเสวนาข้อมูลเชิงลึกจากผู้นำในวงการซึ่งจัดโดย Tencent (เทนเซ็นต์) และ Newzoo (นิวซู) ผู้ร่วมอภิปรายจากวงการอีสปอร์ต เห็นพ้องต้องกันว่าภูมิภาคจะได้รับประโยชน์จากเทรนด์และการพัฒนาที่กำลังเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมเกม

เจมส์ ยาง (James Yang) ผู้อำนวยการของ PUBG MOBILE Global Esports (พับจี โมบาย โกล. อีสปอร์ต) ประจำ Tencent Games (เทนเซ็นต์เกมส์) กล่าวว่า "เราเห็นได้ว่าอีสปอร์ตกำลังอยู่ในขาขึ้น โดยมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนจากการเล่น อีสปอร์ตบนคอมพิวเตอร์ PC และบนคอนโซล มาเป็นบนโทรศัพท์มือถือ ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ได้รับอิทธิพลจากการพัฒนา ด้านฮาร์ดแวร์ รวมไปถึงการเล่นเกมผ่านคลาวด์ และเครือข่าย 5G ในมือถือที่พัฒนาขึ้น"

- อีสปอร์ตในฐานะตัวคูณทางเศรษฐกิจ
ผู้ร่วมอภิปรายรายอื่นซึ่งรวมไปถึง Riot Games ผู้พัฒนาและประชาสัมพันธ์เกม Bigetron Esports หนึ่งในองค์กรอีสปอร์ตชั้นนำในประเทศอินโดนีเซีย และ VIRESA หรือสมาคมนันทนาการและอีสปอร์ตแห่งเวียดนาม รวมไปถึง มหาวิทยาลัยเอเชียแปซิฟิกแห่งเทคโนโลยีและนวัตกรรมในประเทศมาเลเซีย (Asia Pacific University of Technology & Innovation: APU) ได้อธิบายว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถือเป็นภูมิภาคที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา อีสปอร์ตกำลังสร้างผลดีในทางเศรษฐกิจให้กับภูมิภาค พร้อมกับการเกิดโมเดลธุรกิจที่สร้างสรรค์และเปิดโอกาสใหม่ๆ ในสายอาชีพให้กับวงการอีสปอร์ตด้วย

ฮิวโก้ ทริสเทล (Hugo Tristão) หัวหน้าแผนกอีสปอร์ต ของ Newzoo กล่าวว่า "อีสปอร์ตกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วและกำลังกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของตลาดเกมภายในภูมิภาคนี้ มีการคาดการณ์ไว้ว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีผู้ชมอีสปอร์ต ถึง 42.5 ล้านคนภายในสิ้นปี 2564 และจะมีการก่อตั้งองค์กรอีสปอร์ตใหม่ๆ รวมถึงจะมีผู้จัดทัวร์นาเมนต์ที่จะเริ่มเข้าสู่ตลาด ซึ่งรวมไปถึงบริษัทที่ถ่ายทอดการแข่ง และบริษัทที่เชี่ยวชาญทางการตลาดอีกด้วย"

ความสนใจด้านอีสปอร์ตที่เพิ่มขึ้นของประชาชนยังเปลี่ยนแปลงวิธีการในการแชร์และเสพคอนเทนต์ ตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนแปลงจากการเข้าชมการถ่ายทอดการแข่งขัน ซึ่งค่ายเกมเป็นผู้จัดทำและเป็นเจ้าของ ไปเป็นการเข้าชมการแข่งขันผ่านอินฟลูเอนเซอร์ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อวิธีการจัดการสิทธิของสื่อ และจะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาของตลาดและการสนับสนุนของสปอนเซอร์ในวงการอีสปอร์ตต่อไป

- การขับเคลื่อนเชิงบวก
นอกจากนี้ การเติบโตของอีสปอร์ตในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เปิดโอกาสให้มีสายอาชีพใหม่ๆ เกิดขึ้น นอกจากผู้เล่นเกมจะสามารถสร้างอาชีพจากสิ่งที่ชอบได้แล้ว ในขณะเดียวกัน ก็ยังมีการเกิดอาชีพหรือสายอาชีพใหม่ๆ เช่น คอนเทนต์ครีเอเตอร์ อินฟลูเอนเซอร์ในโซเชียลมีเดีย นักพากย์เกม ผู้จัดการ และโค้ช รวมถึงองค์กรอีสปอร์ตระดับใหญ่ที่ต้องตั้งทีมหลังบ้านขึ้นมารองรับการทำธุรกิจสำคัญๆ เช่น การตลาดและการเงิน

นอกจากนี้ อีสปอร์ตยังได้รับความน่าเชื่อถือและการยอมรับในแวดวงวิชาการ ดังเช่นที่มหาวิทยาลัยเอเชียแปซิฟิกแห่งเทคโนโลยีและนวัตกรรมในประเทศมาเลเซีย (Asia Pacific University of Technology & Innovation: APU) ได้มีการจัดทำหลักสูตรประกาศนียบัตรทักษะทางอีสปอร์ต ส่วนในประเทศอินโดนีเซีย อีสปอร์ตก็กำลังเติบโตและสร้างสายอาชีพที่หลากหลายสำหรับคนที่มีความสามารถทางนี้ด้วย

การที่อีสปอร์ตได้รับการบรรจุให้เป็นกีฬาที่สามารถชิงเหรียญได้ครั้งแรกในซีเกมส์ปี 2562 นั้น ยิ่งทำให้เห็นความสำคัญและความน่าดึงดูดใจของวงการนี้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะอีสปอร์ตบนมือถือนั้นจะมีการเติบโตอย่างมากในอีกไม่กี่ปีหลังจากนี้ จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยี การลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่มุ่งไปสู่การรักษาอีโคซิสเต็มนี้ และความยอมรับที่เพิ่มขึ้นว่าอีสปอร์ตเป็นกีฬาจริงๆ ที่ต้องใช้ทั้งทักษะ ความสามารถ การแข่งขัน และความบันเทิง

- ผลกระทบจากโรคระบาด
แม้ว่าจะมีโรคระบาดอย่างต่อเนื่อง วงการอีสปอร์ตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ยังดำเนินต่อไปท่ามกลางความท้าทายต่างๆ โดยผู้ให้บริการ ผู้พัฒนา ค่ายเกม และผู้จัดงานอีเวนท์ ได้มีการลงทุนในเทคโนโลยีต่างๆ ที่จะช่วยเสริมประสิทธิภาพในการเล่นเกม การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเล่นเกมที่เป็นธรรม รวมทั้งการสร้างประสบการณ์การชมทัวร์นาเมนต์ออนไลน์ให้ดีขึ้นไปด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ ตลอดปี 2563 ที่ผ่านมา มียอดการเข้าชมการแข่งขัน PUBG MOBILE (พับจี โมบาย) มากกว่า 200 ล้านชั่วโมง เจมส์ ยาง (Yang) ตั้งข้อสังเกตว่า มีผู้คนจำนวนมากที่เข้าชมการเล่นเกมและการแข่งขันอีสปอร์ตออนไลน์ ถึงแม้ว่าผู้เข้าชมบางส่วนนั้นไม่ได้เป็นผู้เล่นเกมก็ตาม นายยางคาดว่าฐานจำนวนผู้ใช้และผู้ติดตามใหม่ที่ได้มาในช่วงโรคระบาดจะคงอยู่ หลังจากที่ผู้คนกลับมาใช้ชีวิตในวิถีใหม่ โดยผู้เข้าร่วมการเสวนานี้ยังเชื่อว่า การจัดงานในรูปแบบไฮบริด ที่ผสมทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ น่าจะได้รับความนิยมมากขึ้นหลังโรคระบาดนี้หมดไป

เอกสารไวท์เปเปอร์ดังกล่าวได้สรุปใจความไว้ว่า ความชอบในการเล่นเกมบนโทรศัพท์มือถือที่ไม่เหมือนใครของคนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น สะท้อนให้เห็นว่าวงการนี้จะยังคงเติบโตขึ้นในปีต่อๆ ไป และอีสปอร์ตบนโทรศัพท์มือถือจะยังเป็นอันดับหนึ่งของการเล่นเกมในภูมิภาคนี้

นายยาง (Yang) กล่าวว่า "อีสปอร์ตเป็นเทรนด์สำคัญที่ยากจะมองข้าม และจะเป็นประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งภายในและนอกวงการ จากการร่วมมือกันในการพัฒนาและเสริมสร้างอีโคซิสเต็มของอีสปอร์ต ซึ่งจะเป็นตัวกระตุ้นการเติบโตของอุตสาหกรรมต่างๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องและนวัตกรรมทั้งในภูมิภาคและทั่วโลกอย่างอย่างแน่นอน"
#8361


ผลจากมาตรการ "ล็อกดาวน์" ตั้งแต่ปี 2563 ลามมาปีนี้ โดยล่าสุดมีการ "ขยายล็อกดาวน์" ในพื้นที่สีแดงเข้มจนถึง 31 ส.ค.นี้ เป็นปัจจัยลบ!!ต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และมีผลต่อการเปิดตัวโครงการใหม่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลต่ำที่สุดในรอบ17 ปี!! ทีเดียว

"อิสระ บุญยัง "นายกกิตติมศักดิ์สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ในฐานะประธานคณะกรรมการอสังหาริมทรัพย์ออกแบบและก่อสร้างสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ครึ่งปีแรก แม้ยอดการเปิดตัวโครงการใหม่ลดลง 40-50% ช่วงแรกผู้ประกอบการต่างคาดหวังว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิดระลอก 3 จะไม่รุนแรงทุกบริษัทน่าจะทยอยเปิดตัวโครงการใหม่ออกมาในช่วงไตรมาส 3-4

แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์แพร่ระบาดรุนแรงในเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา ส่งผลกระทบอารมณ์ซื้อ และกำลังซื้อ "หดตัว" หนักขึ้นกว่าเดิม ขณะที่มาตรการเข้มงวดต่างๆ ยังคงอยู่ ไม่ว่าจะการเว้นระยะห่างทางสังคม การจำกัดการเดินทางทั้งในและระหว่างประเทศ ทำให้ปี 2564 น่าจะเป็นปีที่การเปิดตัวโครงการใหม่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ต่ำที่สุดในรอบ17ปี!!! นับตั้งแต่2547เป็นต้นมา น่าจะเหลือยอดไม่เกิน 40,000 ยูนิต ทั้งคอนโดและบ้านจัดสรร

"ปีนี้ต้องยอมรับว่าปัจจัยลบจำนวนมากที่เข้ามากระทบตลาดอสังหาฯ ขณะเดียวกันตั้งแต่ปี 2561 จนถึงปัจจุบันมีโครงการคอนโดหยุดแล้วกว่า 10,000 ยูนิต ส่งผลให้ซัพพลายในปีนี้ต่ำสุดในรอบ17 ปี"

ขณะเดียวกันยอดโอนรับรู้รายได้อาจจะลดลงไม่ถึง 50% เพราะมีการล็อกดาวน์ยอดโอนในเดือน ก.ค.- ส.ค. ลดลง คาดว่าภาพรวมทั้งปีลดลง 10-15% ต่ำกว่าปี 2563 แต่ยังถือว่าดีมากแล้ว ในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ เพราะแนวโน้มสถานการณ์โควิดยังไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อไร และยังมีความโชคดีที่ยอดโอนในครึ่งปีแรกไม่แย่มากนักเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

อิสระ ระบุว่าในเดือน ก.ค. ที่ผ่านมาผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังมีการโอนเพราะมีสต็อกมีบ้านที่รอส่งมอบอยู่แต่ เดือน ส.ค. ต่อเนื่อง ก.ย. คงถูกเลื่อนไป ยกตัวอย่าง กานดา พร็อพเพอร์ตี้ ในช่วงล็อกดาวน์ ไม่มีงานประกอบติดตั้งใหม่ ฉะนั้นปลายปีที่มีงานประกอบติดตั้งจะถูกร่นไปเดือนหนึ่ง หากว่าภาวะเศรษฐกิจโดยรวมดีทุกไซต์งานหรือผู้ประกอบการทุกรายคงมีมาตรการเร่งรัดงานก่อสร้าง มีทำล่วงเวลาโดยไม่ทำให้ชุมชนเดือดร้อน หรือมีเสียงรบกวน แต่หากเศรษฐกิจรวมอยู่ใน "ขาลง" ผู้ประกอบการไม่น่าจะสปีดงานก่อสร้าง! มิเช่นนั้นจะมีแต่เงินไหลออก (Cash Out) ฉะนั้นต้องวางแผนให้เหมาะกับเงินไหลเข้า(Cash In)

"สภาพการณ์ต่อจากนี้ใน 6 เดือนข้างหน้าก็เชื่อเหลือเกินว่า โดยภาพรวมผู้ประกอบการยังคงระมัดระวังการก่อสร้างมากขึ้น แม้ว่าอาจจะไม่ได้ล็อกดาวน์ พร้อมกันนั้นแรงงานที่กระจัดกระจายไปคงยังไม่ได้กลับมาโดยเร็ว จาก 2 ปัจจัยทั้งเศรษฐกิจชะลอตัวและแรงงานที่หายไป การเร่งก่อสร้างทำได้ยาก วิธีแก้ปัญหาคงต้องใช้ระบบสำเร็จรูปหรือพรีคาสท์ในการติดตั้ง "

ช่วงเวลานี้ผู้ประกอบการอสังหาฯ ต้องเข้าใจว่า ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ยิ่งมีการล็อกดาวน์ต่อเนื่องการจับจ่ายใช้สอยย่อมชะลอตัวลงเป็นธรรมดา ดังนั้นการก่อสร้างก็ต้องสมดุลกับยอดขาย

"สถิติและผลกระทบที่ผู้ประกอบการอสังหาฯ ได้รับต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ยอดขายเดือนก.ค. ที่ผ่านแย่ที่สุด โดยเฉพาะคอนโด"

สถิติของกานดา พร็อพเพอร์ตี้ พบว่า เดือนก.ค.เป็นเดือนที่มีคนเข้าเยี่ยมชมโครงการ (Walk-in) น้อยที่สุดในรอบปีหลังจากเผชิญมาตรการล็อกแคมป์ก่อสร้าง ตามมาด้วยมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้ยอดการจองน้อยที่สุดในรอบปีตั้งแต่ ก.ค.2563 ในภาพรวมของกรุงเทพฯ และ ปริมาณฑล ฉะนั้น ครึ่งปีหลังผู้ประกอบการอสังหาฯ ระมัดระวังในการเปิดตัวโครงการมากขึ้น

สอดคล้องกับ "พรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ "นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ระบุว่า สถานการณ์ผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นทำนิวไฮเป็นระยะๆนั้น ส่งผลกระทบต่อภาคอสังหาฯ จากมาตรการล็อกดาวน์เพื่อสกัดการแพร่เชื้อ หรือที่ผ่านมาคือการปิดแคมป์ก่อสร้างอย่างชัดเจน ทำให้ธุรกิจเดินต่อไม่ได้หรือไปได้อย่างยากลำยาก ไม่นับรวมผลกระทบที่เกิดจากกำลังซื้อของลูกค้าที่หดตัวลงจากรายได้ที่ลดลง ส่งผลให้ถูกปฏิเสธสินเชื่อจากภาคธนาคาร รวมทั้งผู้ประกอบการอสังหาฯที่ต้องอาศัยเงินกู้ตั้งแต่การซื้อที่ดิน การพัฒนาโครงการ ปัจจุบันสถาบันการเงินแทบไม่อนุมัติสินเชื่อใหม่แล้ว เพราะมีกังวลต่อความเสี่ยงเกิดหนี้เสีย

"ปีนี้ตลาดอสังหาฯ ได้รับผลกระทบหนักมากโดยเฉพาะพื้นที่ กรุงเทพฯ และปริมณฑล ชะลอตัวอย่างรุนแรง ยอดขายน้อย ขณะยอดโอนกรรมสิทธิ์ มีปัญหา หมุนกลับมาเป็นรายได้ให้ผู้ประกอบการได้ยาก เนื่องจากลูกค้ากู้ไม่ผ่าน ส่วนตลาดต่างจังหวัดตลาดแนวราบยังพอไปได้ในหัวเมืองใหญ่ คาดว่าปีนี้ตัวเลขเปิดตัวโครงการใหม่ต่ำกว่าปี 2540 "

จากข้อมูลของ โจนส์ แลง ลาซาลล์ พบว่า ตั้งแต่ปี 2561 จนถึงปัจจุบันตัวเลขคอนโด ชะลอโครงการมีทั้งหมด 12,700 ยูนิต เป็นโครงการที่ยกเลิก 5,900 ยูนิต ชะลอการก่อสร้าง 2,500 ยูนิต และยังไม่กำหนดวันเปิดตัวโครงการ 4,300 ยูนิต พร้อมกันนี้ ด้านราคาคอนโดปรับลดลงเฉลี่ยอยู่ที่ 101,900 บาท ต่อตร.ม. ส่วนคอนโดระดับไฮเอนด์ใจกลางเมืองราคาอยู่ที่ 218,000 บาทต่อตร.ม. สะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการอสังหาฯ ปรับตัวรับมือกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวด้วยการเบรกการลงทุนโครงการใหม่ และเร่งระบายสต็อกซัพพลายที่เหลืออยู่เพื่อกำเงินสดไว้ในมือ

สถานการณ์ธุรกิจอสังหาฯ ปีนี้ได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบรอบด้านทั้งจากมาตรการล็อกดาวน์ที่มีผลต่อเศรษฐกิจ กำลังซื้อของผู้บริโภค รวมถึงอารมณ์ลดลงต่อเนื่อง ทำให้ผู้ประกอบการต้องระมัดระวังในการตลาดหรือเปิดโครงการใหม่ มิเช่นนั้น ยอดขายแป้ก!! ได้ง่ายๆ
#8362


นายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 11 ส.ค.2564 นี้เป็นต้นไป ผู้ฝากเงินในสถาบันการเงินภายใต้กฎหมายคุ้มครองเงินฝาก จะได้รับความคุ้มครองเงินฝากตามกฎหมายคุ้มครองเงินฝาก ในวงเงินไม่เกิน 1 ล้านบาท ต่อ 1 รายผู้ฝาก ต่อสถาบันการเงิน ซึ่งเป็นวงเงินที่กำหนดตามกฎหมาย จากปัจจุบันวงเงินคุ้มครองเงินฝากอยู่ที่ 5 ล้านบาทจนถึงวันที่ 10 ส.ค.

ทั้งนี้ วงเงินคุ้มครองที่ 1 ล้านบาท มีผู้ฝากที่ได้รับความคุ้มครองเงินฝากเต็มจำนวน 82.07 ล้านราย คิดเป็น 98.03% ของผู้ฝากทั้งระบบ ซึ่งถือเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ

สำหรับข้อมูลเงินฝาก ณ วันที่ 31 พ.ค.2564 ผู้ฝากในระบบสถาบันการเงินภายใต้ความคุ้มครองของสถาบันมีจำนวนทั้งหมด 83.72 ล้านราย เมื่อเปรียบเทียบกับสิ้นปีก่อน พบว่าจำนวนผู้ฝากเพิ่มขึ้น 1,337,334 ราย หรือเพิ่มขึ้น 1.62% โดยจำนวนผู้ฝากที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นผู้ฝากรายย่อยซึ่งมีเงินฝากไม่เกิน 1 ล้านบาท คิดเป็น 97% ของจำนวนผู้ฝากที่เพิ่มขึ้น และเงินฝากที่ได้รับความคุ้มครองมีจำนวนทั้งสิ้น 15.28 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 347,940 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 2.33% จากสิ้นปีก่อน

สถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สคฝ.) หรือ DPA มีบทบาทสำคัญในการคุ้มครองเงินฝากแก่ผู้ฝากทั้งที่เป็นบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ไม่ว่าจะเป็นชาวไทยหรือชาวต่างชาติที่ฝากเงินเป็นสกุลเงินบาทกับสถาบันการเงินของไทยภายใต้กฎหมายคุ้มครองเงินฝาก ซึ่งประกอบด้วย ธนาคารพาณิชย์ไทย 18 แห่ง สาขาธนาคารต่างประเทศ 12 แห่ง บริษัทเงินทุน 2 แห่ง และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ 3 แห่ง รวมทั้งสิ้น 35 แห่ง

ซึ่งจะคุ้มครองทันทีในลักษณะ 1 รายชื่อผู้ฝากต่อ 1 สถาบันการเงิน โดยคุ้มครองบัญชีเงินฝาก 5 ประเภท ได้แก่ 1.เงินฝากกระแสรายวัน 2.เงินฝากออมทรัพย์ 3.เงินฝากประจำ 4.บัตรเงินฝาก และ 5.ใบรับฝากเงิน โดยบัญชีเงินฝากที่ได้รับความคุ้มครองต้องเป็นสกุลเงินบาทเท่านั้น ทั้งนี้ หากสถาบันการเงินที่อยู่ภายใต้กฎหมายคุ้มครองเงินฝากถูกเพิกถอนใบอนุญาต ผู้ฝากจะได้รับเงินฝากคืนภายใน 30 วัน ตามวงเงินที่กฎหมายกำหนด

ท่านสามารถตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับการคุ้มครองเงินฝากได้ที่ www.dpa.or.th, ศูนย์บริการข้อมูลคุ้มครองเงินฝาก โทร 1158 หรือเฟซบุ๊กแฟนเพจสถาบันคุ้มครองเงินฝาก DPA
#8363


นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) หรือสภาผู้ส่งออก เปิดเผยว่า สรท.คงคาดการณ์การส่งออกไทยในปี 2564 เติบโต 10% ซึ่งหากจะให้ได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ ในช่วงครึ่งปีหลังจะต้องมียอดส่งออกให้ได้มากกว่าเดือนละ 2 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่หากควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดในภาคการผลิตไม่ได้จนเกิดผลกระทบรุนแรง จะทำให้การส่งออกขยายตัวลดลงเหลือเพียง 7%

โดยสถานการณ์การส่งออกในช่วง 4-5 เดือนที่ผ่านมายังขยายตัวได้ดี เนื่องจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของตลาดส่งออก เช่น จีน สหรัฐ สหภาพยุโรป ประกอบกับทิศทางการอ่อนค่าของเงินบาทที่ช่วยให้แข่งขันได้ดีขึ้น ซึ่งเชื่อว่าแนวโน้มการส่งออกสินค้าทุกกลุ่มในปีนี้ยังคงสดใส ยกเว้นข้าว และน้ำตาล

ขณะที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในสถานประกอบการมีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อกำลังการผลิต ซึ่งขณะนี้มีผู้ประกอบการได้รับผลกระทบแล้วกว่า 1,500 แห่ง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น เช่น อาหาร ยานยนต์ สิ่งทอ ทำให้กำลังการผลิตลดลงราว 20% ซึ่งเกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจราวเดือนละ 6 หมื่นล้านบาท ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องเร่งควบคุมการแพร่ระบาดให้ได้ ช่วงล็อคดาวน์ ต้องเร่งฉีดวัคซีนเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดด้วย ไม่เช่นนั้นการขยายพื้นที่และขยายเวลาล็อคดาวน์ออกไปอีกเท่าไรก็จะไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย

ขณะที่ปัจจัยบวกที่ส่งผลดีต่อการส่งออกได้แก่ 1.การฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของเศรษฐกิจโลก การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญ อาทิ สหรัฐ จีน สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น จากการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ และความคืบหน้าในการฉีดวัคซีน ซึ่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในการกลับมาดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการใช้จ่ายตามปกติ,ดัชนีผู้จัดการฝ่ายการผลิตโลก (World PMI index) ที่อยู่ระดับมากกว่า 50 อย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงการฟื้นตัวของกิจกรรมการผลิตสอดคล้องกับทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกอย่างแข็งแกร่ง

2.ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในทิศทางอ่อนค่าใกล้เคียง 33 บาท/ดอลลาร์ จากปัจจัยความกังวลต่อสถานการณ์ระบาดของโควิดในประเทศไทยที่มีความรุนแรง ซึ่งส่งผลลบต่อเศรษฐกิจไทยปี 2564 ประกอบกับการแข็งค่าของดอลลาร์จากการเผชิญแรงกดดัน หลังประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณไม่รีบคุมเข้มนโยบายการเงิน แม้ว่าเงินเฟ้อสหรัฐจะขยับสูงขึ้น

3.ราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงอย่างต่อเนื่องถึงระดับ 70 ดอลลาร์/บาร์เรล จากแรงหนุนจากความต้องการใช้น้ำมันที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั่วโลกโดยเฉพาะยุโรปและสหรัฐ ที่เริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ในหลายพื้นที่ รวมถึงจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ใหม่ทั่วโลกปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง

ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่เป็นอุปสรรคต่อการส่งออก ได้แก่ 1.สถานการณ์การระบาดโควิด-19 ที่มีความรุนแรงในประเทศ จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด–19 ภายในประเทศยังคงพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากไม่สามารถควบคุมและลดการแพร่ระบาดได้อาจจะกระทบเศรษฐกิจไทยอย่างรุนแรง โดยเฉพาะภาคการส่งออกซึ่งถือเป็นเครื่องจักรตัวสุดท้ายที่ยังขับเคลื่อนได้ กรณีการติดเชื้อในกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมเริ่มแพร่กระจายมากขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อกำลังการผลิต และการส่งมอบสินค้า ทำให้การส่งออกเติบโตได้เพียง 10% จากที่คาดว่ามีโอกาสเติบโตได้ถึง 15% ประกอบกับมาตรการ Bubble & Seal ซึ่งโรงงานขนาด SMEs ส่วนใหญ่ อาจไม่สามารถดำเนินการได้และมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ขณะเดียวกันภาครัฐไม่สามารถอำนวยความสะดวกและสนับสนุนได้ทั้งหมด

2.ปริมาณความต้องการตู้สินค้ายังไม่เข้าสู่ภาวะสมดุล ปริมาณการหมุนเวียนของตู้สินค้ายังไม่เพียงพอ ประกอบกับค่าระวางเรือยังคงปรับตัวอยู่ในทิศทางขาขึ้น ค่าระวางการขนส่งสินค้าทางทะเลยังมีการปรับขึ้นในเกือบทุกเส้นทาง โดยเฉพาะเส้นทางยุโรป และสหรัฐ เนื่องด้วยปริมาณการขนส่งทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับทิศทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง ขณะที่สายเรือใช้โอกาสเรียกเก็บค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่มมากขึ้น อาทิ Peak Season Surcharge (PSS) ซึ่งแม้บางบริษัทยอมจ่ายอัตราพิเศษแต่ก็ยังไม่ได้ตู้สินค้า รวมถึงผู้ส่งออกที่ได้รับการยืนยันตู้แล้ว ก็อาจถูกยกเลิกก่อนกำหนด ทำให้ผู้ส่งออกไทยไม่สามารถส่งออกได้ตามเป้า การบริหารจัดการภายในท่าเทียบเรือที่ขาดประสิทธิภาพ และปัญหาจากการล่าช้าของเรือ ทำให้ตู้สินค้าไม่สามารถหมุนเวียนในระบบได้ดีเพียงพอ

3.แรงงานขาดแคลน เนื่องจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจทำให้ความต้องการแรงงานในกระบวนการผลิตเพิ่มขึ้น แต่แรงงานต่างด้าวเดินทางกลับประเทศและยังไม่ได้เดินทางกลับเข้ามา ประกอบกับยังไม่สามารถจัดสรรวัคซีนโควิด-19 ให้เพียงพอกับจำนวนแรงงานในภาคการผลิต ซ้ำเติมปัญหาการขาดแคลนแรงงานให้ทวีความรุนแรงมากขึ้น ขณะที่ยังมีข้อจำกัดในการจ้างแรงงานแบบ part-time ให้สอดคล้องกับกฎหมายในปัจจุบัน

4.ปัจจัยการผลิตมีปริมาณไม่เพียงพอ ส่งผลให้ต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้น อาทิ Semiconductor Chip / Steel โดยเฉพาะต่ออุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อาทิ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ เป็นต้น และไม่สามารถผลิตได้ตามกำลังการผลิตหรือความต้องการของตลาดโลก

ทั้งนี้ สรท.มีข้อเสนอแนะดังนี้ 1.ไม่เห็นด้วยกับมาตรการ Fully Lockdown โดยขอยกเว้นให้ภาคการผลิตและกิจกรรมโลจิสติกส์ที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกและนำเข้า อาทิ การปฏิบัติงานของท่าเรือ การขนส่งสินค้าเข้าสู่ท่าเรือ ยังสามารถดำเนินการได้ต่อเนื่อง เพราะมีผลต่อสัญญาการค้าระหว่างประเทศ และหลายธุรกิจมีสัดส่วนการผลิตเพื่อป้อนตลาดในประเทศ หากมีการหยุดประกอบการ จะส่งผลให้เกิดปัญหาการขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภคภายในประเทศตามมาในที่สุด

2.ขอเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งบริหารจัดการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมทุกภาคส่วน โดยเฉพาะแรงงานภาคอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกให้เร็วที่สุด 3.ขอเรียกร้องให้มีการปรับใช้มาตรการทางสาธารณสุขที่เป็นมาตรฐานเดียวจากส่วนกลาง เพื่อให้สามารถดำเนินการเหมือนกันในแต่ละพื้นที่จังหวัด โดยเฉพาะกรณีโรงงานที่มีพนักงานอยู่ในกลุ่มเสี่ยง 4.ขอเรียกร้องให้หน่วยงานราชการเร่งปรับปรุงการทำงานในการจัดการด้านเอกสารออนไลน์ (e-Document) และการขออนุญาต/ใบรับรองเพื่อการส่งออกนำเข้าผ่านระบบ National Single Window (NSW) เพื่อลดการสัมผัสจากการเข้าไปติดต่อราชการ
#8365


นายสันติสุข คล่องใช้ยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน)หรือ AAV  แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)ว่า ตามที่ AAV ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ บริษัท ไทยแอร์เอเชีย จำกัด (บริษัทย่อย) แจ้งประกาศหยุดให้บริการทุกเส้นทางการบินภายในประเทศชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 12 ก.ค. -8 ส.ค.2564 ความละเอียดทราบแล้วนั้น

บริษัทฯ ขอแจ้งให้ทราบว่า เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ที่ยังคงรุนแรงขึ้น และตามประกาศของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) กำหนดให้ผู้ดำเนินการเดินอากาศยานในเส้นทางการบินภายในประเทศ ห้ามปฏิบัติการบินรับส่งผู้โดยสารเข้าหรือออกพื้นที่ที่กำหนดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (พื้นที่สีแดงเข้ม) ในระหว่างสถานการณ์ที่มีการแพร่ระบาดสูงของโรค COVID-19 ตั้งแต่วันที่ 21 ก.ค. 2564เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์จะสิ้นสุดหรือมีประกาศอื่น ประกอบกับมาตรการจำกัดการเดินทางของภาครัฐที่ยังประกาศใช้ต่อเนื่องนั้น

บริษัท ไทยแอร์เอเชีย จำกัด จึงประกาศขยายระยะเวลาหยุดให้บริการทุกเส้นทางการบินภายในประเทศชั่วคราวจากเดิม12 ก.ค. -8 ส.ค. 2564 ขยายออกไปถึง31 ส.ค. 2564 หรือจนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลงจากภาครัฐและหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง


บริษัทฯ และบริษัทย่อย ยังคงติดตามสถานการณ์ต่างๆ อย่างใกล้ชิด และเตรียมความพร้อมในการกลับมาให้บริการอีกครั้งโดยเร็วที่สุด เมื่อสถานการณ์หรือกฎระเบียบต่างๆ คลี่คลายลง
#8366


โรงแรม แบงค็อกแมริออท เดอะ สุรวงศ์ ยกครัวมาบน Truck เสิร์ฟความอร่อยระดับ 5 ดาวในรูปแบบอาหารกล่องสดใหม่ คุณภาพคับกล่องราคาสบายกระเป๋า เริ่มต้นเพียง 60 บาท ให้คุณสั่งไปอิ่มอร่อยที่บ้านแบบปลอดภัย



• เกี๊ยวหมาล่า 60 บาท
• ก๋วยเตี๋ยวเส้นสด ซอสเสฉวนหมูสับ และเกี๊ยวหมาล่า 90 บาท
• บะหมี่ฮ่องกงจักรพรรดิ เสิร์ฟพร้อมหมูกรอบ หมูแดง เป็ดย่าง และเกี๊ยวหมู 120 บาท
• สปาเก็ตตี้คาร์โบนาร่า เสิร์ฟพร้อมคอหมูย่าง 90 บาท
• สปาเก็ตตี้แซลมอนย่าง ซอสครีมไข่กุ้ง 120 บาท
• สปาเก็ตตี้ผัดขี้เมาทรัฟเฟิล เสิร์ฟพร้อมเนื้อวากิว 120 บาท



แมริออท สุรวงศ์ Food Truck เสิร์ฟความอร่อยให้คุณทุกวันจันทร์ – พฤหัสบดี ตั้งแต่เวลา 11.00 น. – 20.00 น. บริเวณหน้าโรงแรม ถนนสุรวงศ์ ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ส.ค. 2564 มีเดลิเวอรี่ผ่าน Robinhood เพียงหาชื่อ 'แมริออท สุรวงศ์'

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 02 088 5666 หรือไลน์ @marriottsurawongse
#8368


ด้วยสถานการณ์วิกฤตของประเทศไทย จากผลพ่วงของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี จำเป็นที่จะต้องปรับตัวเพื่ออยู่รอด และช่องทางการขายผ่านร้านสะดวกซื้ออย่าง เซ่เว่นอีเลฟเว่น ที่มีสาขาทั่วประเทศ กว่า 7,000 สาขา เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีหลายรายหมายปอง อยากจะได้นำสินค้าเข้ามาวางขาย

อย่างไรก็ตาม จากการเปิดกว้าง ต้อนรับผู้ประกอบการรายเล็กอย่างเอสเอ็มอี ทำให้การนำสินค้าเข้ามาวางขายในร้านสะดวกซื้อชื่อดัง มันอาจจะไม่ใช่เรื่องยากยุคนี้ แต่ความยากอยู่ที่จะทำอย่างไรรักษายอดขาย และรักษาพื้นที่วางขายให้อยู่ได้นานๆเป็นเรื่องที่ยากกว่า วันนี้ ทางบริษัท ซีพีออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่นและเซเว่น เดลิเวอรี่ นำเรื่องราวและกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ ตลอดจนแนวคิดของ 5 SMEs ไทยที่ประสบความสำเร็จ สามารถสร้างยอดขายในร้านเซเว่น อีเลฟเว่นได้อย่างต่อเนื่องและยาวนานกว่าทศวรรษ มาร่วมแบ่งปันเคล็ดลับให้กับผู้ประกอบการ SMEs ได้ต่อยอดธุรกิจสู่ความสำเร็จ


ขนมตาล EZY SWEET ยกระดับขนมไทยด้วยเทคโนโลยี

นับเป็นอีกหนึ่ง SME ที่ต้องจับตามอง เพราะเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการขนมไทยเพียงไม่กี่ราย ที่เป็นคู่ค้ากับ เซเว่น อีเลฟเว่น มานานเกือบ 10 ปี อย่าง บริษัท เจ เอช แอนด์ สโนว์ กรุ๊ป จำกัด ซึ่งเติบโตจนเป็นที่รู้จักจากแบรนด์ "แม่สุนีย์ ขนมไทย" ปัจจุบันได้ผันตัวมาผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์ EZY SWEET ให้กับ ซีพี ออลล์ เนื่องจากเชื่อมั่นในการเติบโตของตลาดขนมไทยรวมถึงการส่งเสริมองค์ความรู้อย่างรอบด้านโดยเฉพาะเทคโนโลยี และการตลาด

นายก้องปพัฒน์ เรืองจินดาชัยกิจ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ เอช แอนด์ สโนว์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า จากความสำเร็จในการสร้างแบรนด์ แม่สุนีย์ ขนมไทย ทำให้บริษัทมีความคิดที่จะต่อยอดโอกาสไปสู่ขนมไทยประเภทอื่นๆ จึงได้ร่วมปรึกษากับซีพี ออลล์ ในการพัฒนาสินค้าตัวใหม่ ซึ่งได้รับคำแนะนำให้ทดลองผลิตขนมตาล ภายใต้โจทย์ว่าจะทำอย่างไรให้ขนมตาลยังคงนุ่ม หอม น่ารับประทานเหมือนเพิ่งนึ่งมาใหม่ มีเนื้อสัมผัสและรสสัมผัสไม่เปลี่ยนแปลงแม้นำไปอุ่น โดยใช้เวลาในการคิดค้นประมาณ 1 ปี จนได้มาเป็นกระบวนการผลิตที่เป็นเทคนิคเฉพาะของบริษัท สามารถผลิตได้ในปริมาณมากถึง 6,000 ชิ้นต่อวัน และมีอายุการเก็บรักษา (Shelf Life) ประมาณ 1 สัปดาห์



สร้างยอดขายในเซเว่น 65,000 ชิ้นต่อวัน

"การผลิตขนมไทยแบบเดิมๆ จะใช้ภูมิปัญญาที่ได้รับถ่ายทอดมา แต่การผลิตในเชิงอุตสาหกรรมต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิต เพื่อช่วยยืดอายุขนมและรักษารสชาติให้คงเดิม สำหรับตัวขนมตาลถือเป็นโจทย์ที่ยากมาก เพราะปัญหาคือเนื้อขนมจะแข็งหากทิ้งไว้นาน หรือแฉะเมื่อนำไปอุ่น ทำให้รสชาติเปลี่ยนได้ แต่จากการแนะนำด้านเทคโนโลยีของซีพี ออลล์ ทำให้เราสามารถแก้ปัญหาเหล่านั้นได้ บวกกับวัตถุดิบตาลพันธุ์ดีที่เรารับซื้อจากเกษตรกร จ.เพชรบุรี ทำให้เมื่อออกวางจำหน่ายจึงได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยมียอดจำหน่ายสูงสุดถึงวันละประมาณ 10,000 ชิ้นต่อวัน จากยอดขายทั้งหมดของบริษัทในสินค้าทุกประเภทที่วางจำหน่ายในปัจจุบันร่วม 9 รายการ ทั้งในส่วนของแบรนด์แม่สุนีย์ ขนมไทย และ EZY SWEET ที่มียอดขาย 650,000 ชิ้นต่อวัน การที่ SME จะเติบโตได้อย่างยั่งยืนนั้น บางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องสร้างแบรนด์ของตนเอง แต่สิ่งที่จำเป็นคือพันธมิตรและคู่คิดที่ดี" ก้องปพัฒน์ กล่าว


20 ปี ขนมไทย "แม่ละมาย" ในเซเว่น
สร้างยอดขายกว่า 100 ล้านบาทต่อปี

คงไม่มีใครไม่รู้จักแบรนด์ "แม่ละมาย" เพราะมีสินค้าครอบคลุมทั้งเครื่องดื่มและขนมหวานวางจำหน่ายในเซเว่น อีเลฟเว่นนานกว่า 20 ปี ตั้งแต่เริ่มต้นส่งในเซเว่น อีเลฟเว่นเพียงแค่ 20 สาขา กระทั่งปัจจุบันมีจำหน่ายมากกว่า 10,000 สาขาทั่วประเทศ โดยมีสินค้ามากกว่า 10 ตัว อาทิ วุ้นมะพร้าวผสมเม็ดแมงลัก,วุ้นมะพร้าวรวมมิตรในน้ำลำไย,วุ้นมะพร้าวรวมมิตรในน้ำแดง,ลูกตาลลอยแก้ว,วุ้นมะพร้าวผสมเม็ดแมงลักในน้ำใบเตย,เครื่องดื่มเม็ดแมงลักผสมวุ้นมะพร้าวในน้ำแดง,น้ำขิงผสมวุ้นมะพร้าว,น้ำใบเตยผสมวุ้นมะพร้าว และยังมีสินค้าช่วงเทศกาล เช่น ถั่วเขียวต้มน้ำตาล, เต้าทึง ซึ่งได้สร้างยอดขายให้บริษัทมากกว่า 100 ล้านบาทต่อปี



ถ่ายทอดองค์ความรู้เกษตรกรเติบโตไปด้วยกัน 

นายวีระ ตั้งวุทฒิไกรวิทย์ หุ้นส่วนผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนจำกัด แม่ละมาย ผู้ผลิตขนมหวานตรา "แม่ละมาย" เล่าให้ฟังว่า สิ่งที่ทำให้แบรนด์ "แม่ละมาย" เติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน คือ การได้แบ่งปันโอกาสการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับเหล่าซัพพลายเออร์ ด้วยการมอบความรู้ให้กับเกษตรกรในเรื่องการเพาะปลูก การเพิ่มประสิทธิภาพผลผลิต การเก็บเกี่ยวเพื่อให้ได้คุณภาพของวัตถุดิบ ที่จะนำมาผลิตเป็นสินค้าคุณภาพส่งต่อให้กับผู้บริโภค ตลอดจนรับซื้อสินค้าเกษตรจากเกษตรกรในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศในรูปแบบประกันราคา ไม่ว่าจะเป็นวุ้นน้ำมะพร้าว,เม็ดแมงลัก,ลำไยอบแห้ง,ลูกตาล,สัปปะรด คิดเป็นปริมาณการใช้งานเฉลี่ยกว่า 1,000 ตันต่อปี และก่อให้เกิดการจ้างงานในชุมชนคิดเป็นจำนวนเงินราว 12-14 ล้านบาทต่อปี

"การที่ SME จะเติบโตได้อย่างยั่งยืน ต้องรู้จักแบ่งปันโอกาสการเติบโตให้กับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ในส่วนของเรามองว่า เกษตรกร ถือเป็นซัพพลายเออร์หลักที่มีความสำคัญอย่างมากที่จะทำให้เราได้วัตถุดิบมีคุณภาพ เพื่อนำมาผลิตสินค้าให้กับผู้บริโภค วัตถุดิบที่ดีบวกกับการรักษามาตรฐานการผลิตสินค้าให้ตรงตามความต้องการของผู้บริโภค นำมาซึ่งยอดขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง เราเรียกการเติบโตเช่นนี้ว่า การเติบโตแบบยั่งยืน ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ" วีระ กล่าว

นอกจากการให้โอกาสแล้ว ในฐานะที่เป็น SME สิ่งที่จะขาดไม่ได้คือ การพัฒนาตัวเองและสินค้าอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดบริษัทได้มีการนำ แห้ว ซึ่งเป็นพืชพื้นถิ่นของ จ.สุพรรณบุรี มาใช้เป็นส่วนประกอบในวุ้นมะพร้าวรวมมิตรในน้ำแดง และได้ทีม ซีพี ออลล์ มาช่วยเป็นที่ปรึกษาในเรื่องการพัฒนาแพ็กเก็จจิ้ง ให้มีความสวยงามทันสมัย สะดวกต่อการบริโภค รวมถึงมาตรฐานการผลิต เนื่องจากมองว่ายิ่งเป็นแบรนด์ที่อยู่มานาน ยิ่งต้องพัฒนาสินค้าให้มีความหลากหลาย เพื่อเพิ่มช่องทางการตลาด



30 ปี เฉาก๊วยในน้ำเชื่อม "ปุ้น&เปา"ในเซเว่น
ลดความผิดพลาด สร้างคุณภาพสม่ำเสมอ

นับเป็นเวลาร่วม 30 ปีที่ห้างหุ้นส่วนจำกัด ชลกิจปทานผล ได้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์คุณภาพและอยู่เคียงข้างเป็นบริษัทคู่ค้ากับเซเว่น อีเลฟเว่น มาโดยตลอด จนในวันนี้แบรนด์ "ปุ้น&เปา" ได้ถูกส่งไม้ต่อให้ทายาทรุ่นที่ 2 เข้ามาช่วยสานต่อกิจการและยังคงเดินทางร่วมกับซีพี ออลล์ เพื่อทำภารกิจส่งมอบสินค้าคุณภาพ ในราคาที่เข้าถึงง่ายสู่มือผู้บริโภคทุกวัน



นำเครื่องจักรช่วยลดความผิดพลาดให้กิจการเล็กๆ 

ชลกุล ชลกิจปทานผล หุ้นส่วนผู้จัดการ หจก.ชลกิจปทานผล เล่าย้อนความให้ฟังว่า เฉาก๊วยในน้ำเชื่อม "ปุ้น&เปา" เป็นสินค้าตัวที่ 3 ที่บริษัทส่งขายให้กับเซเว่น อีเลฟเว่น จากเดิมเคยทำวุ้นกะทิและวุ้นน้ำมะพร้าวในน้ำเชื่อม แต่ด้วยความไม่แน่นอนในเรื่องของราคาวัตถุดิบหลักอย่างมะพร้าว จึงทำให้คุณพ่อมองหาสินค้าตัวใหม่ ซึ่งก็คือ "เฉาก๊วยในน้ำเชื่อม" โดยใช้แบรนด์ "ปุ้น&เปา" ในรูปแบบพร้อมดื่มและแบบถ้วย นอกจากนี้ ยังเพิ่มรูปแบบการจำหน่ายสู่แบบถุงภายใต้แบรนด์ "บางช้าง" ในราคาเพียง 8-12 บาทเท่านั้น ทำให้ปัจจุบันบริษัทมีรายได้ประมาณ 100 ล้านบาทต่อปี และสร้างยอดขายสูงสุด 100,000 ถ้วยต่อวัน

"แม้ว่าจะเพิ่งเข้ามารับช่วงต่อจากคุณพ่อได้เพียง 3 ปี แต่สิ่งหนึ่งที่ท่านมักสอนเสมอก็คือ เราจะต้องเป็น SME ที่มีประสิทธิภาพ ภายใต้นิยามใหม่ที่ตั้งขึ้นมาเอง SME (Small Micro Enterprises) นั่นคือพยายามทำให้องค์กรเล็กที่สุด แต่ได้ประสิทธิภาพมากที่สุด ด้วยเหตุนี้ คุณพ่อจึงหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องของการพัฒนาเครื่องจักรเพื่อลดความผิดพลาดในส่วนต่างๆ เพราะการเป็นคู่ค้ากับซีพี ออลล์ สิ่งสำคัญคือเราต้องผลิตสินค้าให้ได้คุณภาพ ส่งผลให้วันนี้เราสามารถผลิตสินค้าได้เพิ่มขึ้นจาก 10,000 ถ้วยต่อวันในปี 2545 เป็น 120,000 ถ้วยต่อวัน ด้วยคนจำนวนเท่ากันคือ 15 คน" ชลกุล กล่าว


"วรพร" ผลไม้แปรรูป เลือกวัตถุดิบคุณภาพ
20 ปี ในเซเว่น ช่วยส่งต่อความยั่งยืนสู่ชุมชน

"วรพร" แบรนด์ผลไม้แปรรูปที่ยืนหยัดอยู่ในธุรกิจผลไม้แปรรูปมานานกว่า 50 ปี อีกทั้งยังเป็นคู่ค้าสำคัญของซีพี ออลล์มาถึงกว่า 20 ปี ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท ผลไม้แปรรูปวรพร จำกัด ปัจจุบันถูกส่งไม้ต่อให้ทายาทรุ่นที่ 3 เข้ามาช่วยสานต่อกิจการ เพื่อทำภารกิจส่งมอบสินค้าคุณภาพ ในราคาที่เข้าถึงง่ายสู่มือผู้บริโภค

ชัยพร โสธรนพบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลไม้แปรรูปวรพร จำกัด เล่าย้อนความให้ฟังว่า แบรนด์"วรพร" ถือกำเนิดจากธุรกิจครอบครัวโดยสินค้าที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือ มะม่วงแช่อิ่ม กระทั่งเมื่อกว่า 20 ปีที่ผ่านมาบริษัทได้รับโอกาสจาก ซีพี ออลล์ ให้นำสินค้าเข้าไปจำหน่ายในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น พร้อมกับถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านต่างๆ เรียกว่าเป็นการพลิกโฉม มะม่วงแช่อิ่มแบบเดิมๆ ที่ดองใส่ขวดโหล สู่บรรจุภัณฑ์พร้อมรับประทานเจ้าแรกของประเทศ



3 ข้อหัวใจหลักทำให้ "วรพร" ประสบความสำเร็จ

สำหรับรสชาติและคุณภาพที่ได้มาตรฐาน ตลอดจนการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในวันนี้ "วรพร" สามารถสร้างยอดขายจากทั้งในประเทศและต่างประเทศได้สูงถึงกว่า 130 ล้านบาทต่อปี โดยยอดขายกว่า 60-65% มาจากมะม่วงแช่อิ่มพร้อมทาน มะม่วงแช่อิ่มพร้อมพริกเกลือ มะขามแช่อิ่ม มะดันแช่อิ่ม มะปรางแช่อิ่ม มะม่วงกวน และมะม่วงกวนปรุงรส ที่จำหน่ายในเซเว่น อีเลฟเว่น

"ด้วยความที่สินค้าของเราเป็นสินค้าเพื่อการบริโภค หัวใจหลักในการดำเนินธุรกิจให้ประสบความสำเร็จและเติบโตได้อย่างยั่งยืนจึงต้องมี 3 ข้อนี้คือ 1.ต้องสร้างมาตรฐานการผลิต เพื่อให้ได้สินค้าที่ได้มาตรฐาน ต้องหมั่นทดสอบสินค้าอยู่เสมอว่ามีรสชาติคงเดิมหรือไม่ ถ้ารสชาติเปลี่ยนไปก็ต้องหาคำตอบให้ได้ว่าเกิดจากสาเหตุใด มาจากขั้นตอนการผลิตหรือวัตถุดิบ เพื่อจะได้รีบดำเนินการแก้ไข 2.ใช้วัตถุดิบคุณภาพ เราเลือกใช้มะม่วงของ จ.ฉะเชิงเทรา แหล่งผลิตมะม่วงที่ดีที่สุดของประเทศไทย โดยเรารับซื้อมะม่วงจากเกษตรกรประมาณ 5,000 ตันต่อปี และ 3.ส่งต่อความยั่งยืนสู่ชุมชน เรามองว่า เกษตรกร เป็นซัพพลายเออร์หลักที่มีความสำคัญอย่างมากที่จะทำให้เราได้วัตถุดิบมีคุณภาพ เพื่อนำมาผลิตสินค้าให้กับผู้บริโภค วัตถุดิบที่ดีบวกกับการรักษามาตรฐานการผลิตสินค้าให้ตรงตามความต้องการของผู้บริโภค นำมาซึ่งยอดขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง เราเรียกการเติบโตเช่นนี้ว่า การเติบโตแบบยั่งยืน ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ" ชัยพร กล่าว

จากร้านห้องแถว คุณเก๋ขนมหวาน
สู่รายได้ 140 ล้าน/ปี ในเซเว่น

จากห้องแถว 2 คูหา กำลังการผลิตเพียง 10,000 ถ้วยต่อวัน ในปี 2551 ยอดขายเพียงหลักล้านบาทต่อปี สู่โรงงานขนาดมาตรฐานที่มีกำลังการผลิต 60,000 ถ้วยต่อวัน กับยอดขายที่สูงถึงกว่า 140 ล้านบาทต่อปีในปัจจุบัน แสดงให้เห็นถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนของ บริษัท คุณเก๋ขนมหวาน จำกัด ได้เป็นอย่างดี

อย่างไรก็ดี การจะมาถึงจุดนี้ได้นั้น มนสวรรณ ศรัณย์เวชกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท คุณเก๋ขนมหวาน จำกัด กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยการเรียนรู้และปรับตัวรอบด้าน พร้อมกับเปิดกว้างด้านความคิด เนื่องจากเดิมบริษัทเป็นที่รู้จักในนามของ "คุณเก๋ขนมหวาน" แต่ปัจจุบันได้มีโอกาสก้าวมาพัฒนาสินค้าร่วมกับซีพี ออลล์ ภายใต้แบรนด์ EZY SWEET มีสินค้าส่งจำหน่ายให้กับเซเว่น อีเลฟเว่น รวม 10 ชนิด อาทิ สาคูเปียกข้าวโพด ทับทิมกรอบกะทิสด รวมมิตรกะทิสด ด้วยยอดผลิตสูงสุด 60,000 ถ้วยต่อวัน



องค์ความรู้ที่ดี ก้าวย่างสำคัญ SMEs เติบโตยั่งยืน

"SMEs ส่วนใหญ่คิดจะพัฒนาสินค้าภายใต้แบรนด์ของตัวเองซึ่งก็เป็นเรื่องดี แต่เราอาจจะพลาดองค์ความรู้ดีๆ ที่จะได้รับจากพันธมิตร เช่น งานวิจัยการตลาด เทคโนโลยีด้านการผลิต การอบรมเพิ่มทักษะด้านต่างๆ ซึ่งเรามองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้สินค้าของเราสามารถแข่งขันในตลาดได้ในระยะยาว เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคตลอดจนเทคโนโลยีต่างๆเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้เรายังสามารถส่งต่อองค์ความรู้ที่ได้รับกลับไปสู่ซัพพลายเชนของเราได้อีกด้วย อาทิ เรื่องของธรรมาภิบาล จะต้องไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับชุมชน แต่เราต้องสร้างการเติบโตให้กับชุมชน ทั้งนี้ก็เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนแบบองค์รวม" มนสวรรณ กล่าว

การเติบโตที่แข็งแกร่ง เกิดจากการนำเอาประสบการณ์ของผู้ที่ประสบความสำเร็จไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับธุรกิจของตนเอง โอกาสที่จะเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนย่อมไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อม
#8369


ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือ ศบค.ประชุมนัดพิเศษวันที่ 1 ส.ค. ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมด้วยระบบวีดิโอคอนเฟอร์เรนซ์ โดยมีการพิจารณาล็อคดาวน์เพิ่มเติม ดังนี้

ที่ประชุม ศบค.มีมติขยายระยะเวลาการใช้มาตรการล็อกดาวน์ ตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 28) เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด ลดอัตราการเสียชีวิต และลดผู้ป่วยอาการหนักเพื่อให้ระบบสาธารณสุขสามารถรองรับได้ พร้อมยกระดับพื้นที่สถานการณ์ย่อยในพื้นที่ทั่วราชอาณาจักร โดยปรับพื้นที่ดังนี้

พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) จากเดิม 13 จังหวัด เป็น 29 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร กาญจนบุรี ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ตาก นครปฐม นครนายก นครราชสีมานราธิวาส นนทบุรี ปทุมธานี ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี ปัตตานี พระนครศรีอยุธยา เพชรบุรี เพชรบูรณ์ ยะลา ระยอง ราชบุรี ลพบุรี สงขลา สิงห์บุรี สมุทรปราการ สมุทรสงครามสมุทรสาคร สระบุรี สุพรรณบุรี อ่างทอง

พื้นที่ควบคุมสูงสุด (สีแดง) 37 จังหวัด

พื้นที่ควบคุม (สีส้ม) 11 จังหวัด

ทั้งนี้ ในพื้นที่แดงเข้ม ขอความร่วมมือให้มีการเวิร์กฟอร์มโฮมถึงขั้นสูงสุด ร้านสะดวกซื้อ/ตลาดโต้รุ่ง เปิดได้ไม่เกิน 20.00 น. ห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์ สามารถเปิดได้ไม่เกิน 20.00 น. รวมถึงให้ร้านอาหารในห้างสรรพสินค้าสามารถจำหน่ายอาหารแบบเดลิเวอรี่ สำหรับร้านอาหารในห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ หรือสถานประกอบการอื่น ที่มีลักษณะคล้ายกัน โดยขอให้ผู้ประกอบการจัดทำมาตรการ DMHTemp สำหรับพนักงานทุกคน ห้ามเปิดบริการหน้าร้าน ห้างสรรพสินค้าต้องจัดจุดพักรอรับอาหารที่อากาศถ่ายเทสะดวก ไม่พลุกพล่าน โดยเน้นมาตรการเว้นระยะห่าง และให้พนักงานรับส่งอาหารรอรับอาหาร ณ จุดรับส่งเท่านั้น ปฏิบัติตามมาตรการ DMH อย่างเข้มงวด

พร้อมเน้นย้ำลดการเดินทางเคลื่อนย้ายของประชาชน ขนส่งสาธารณะงดการเดินทางข้ามเขตจังหวัด โดยจะมีผลบังคับใช้วันที่ 3 ส.ค.เป็นระยะเวลา 14 วัน ซึ่งจะมีการพิจารณาสถานการณ์ในวันที่ 18 ส.ค. หากสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นอาจมีการขยายระยะเวลาใช้มาตรการดังกล่าวถึง 31 สิงหาคม

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า การยกระดับและขยายพื้นที่ครั้งนี้ปรับตามสถานการณ์ในต่างจังหวัด โดยเดิมคาดว่ากระทบเศรษฐกิจเดือนละ 200,000–300,0000 ล้านบาท เพิ่มเป็น 250,000-350,000 ล้านบาท ซึ่งการยกระดับใกล้เคียงเดือน เม.ย.2563 แต่ยังไม่เข้มงวดเท่า จึงต้องเร่งมาตรการอื่นควบคู่ไม่เช่นนั้นจะเหมือนมาเลเซียที่กึ่งล็อคดาว์นแล้วคุมระบาดไม่ได้

ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุดภาครัฐควรเร่งมาตรการอื่นควบคู่ คือ 1.เร่งฉีดวัคซีน 2.การทำระบบ Home Isolation และ Company Isolation โดยขณะนี้ภาคเอกชนร่วมแบ่งเบาภาระภาครัฐในการดูแลพนักงาน โดยหลายแห่งทำ Active Screening โดยใช้ Rapid Antigen Test Kit เพื่อเร่งแยกคนติดออกไม่ให้ระบาดในสถานประกอบการ รวมถึงการดูแลเชื่อมระบบกับโรงพยาบาลและ Hospitel

นายสนั่น กล่าวว่า สำหรับการอนุญาตร้านอาหารในห้าง คอมมิวนิตี้มอล เปิดจำหน่ายได้ เฉพาะบริการแบบเดลิเวอรี่นั้น ถือเป็นมาตรการบรรเทาผลกระทบผู้ประกอบการได้ส่วนหนึ่ง แต่ไม่ได้เพิ่มกำลังซื้อหรือกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยประชาชนยังจับจ่ายใช้สอยเท่าเดิม เพราะยังล็อคดาวน์ โดยแม้ว่าความพยายามในการตรวจหาผู้ติดเชื้อจะเป็นเรื่องดี แต่การเร่งจัดหาวัคซีนพร้อมกระจายสู่ประชาชนเป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วนที่ภาครัฐทำควบคู่ ซึ่งต้องเร็วกว่านี้และเอกชนพร้อมสนับสนุนการใช้เครือข่ายช่วยจัดหาวัคซีนให้คนไทย

"เชื้อกลายพันธ์ระบาดเปลี่ยนไปอย่างมากจากเดิม หอการค้าจะร่วมกับทางสาธารณสุขทำความเข้าใจวิธีการป้องกันใหม่ รวมถึงแนวทางที่ผู้ประกอบการและประชาชนจะมาจัดการปัญหาร่วมกัน"นายสนั่น กล่าว
#8370


กสิกรไทย ออกแคมเปญแรง "ร่วมด้วย ช่วยเปย์" จ่ายมื้ออร่อยให้สูงสุด 100 บาท/ออเดอร์ แค่สั่งผ่าน Grab หรือ LINE MAN ช่วยกันอุดหนุนร้านค้าให้มีแรงสู้ต่อ

ธนาคารกสิกรไทย ระดมกำลังช่วยเหลือร้านอาหารกว่า 80,000 ร้านให้มีแรงสู้ต่อ เปิดตัวแคมเปญแรง "ร่วมด้วย ช่วยเปย์" คุณช่วยสั่ง เราช่วยจ่าย เพียงสั่งอาหารผ่าน Grab หรือ LINE MAN กสิกรไทยช่วยจ่ายมื้ออร่อยให้สูงสุด 100 บาท/ออเดอร์ ได้อิ่มท้องและอิ่มใจ ช่วยเติมกำลังให้ร้านอาหารเล็กๆ ได้มีแรงสู้ต่อ เริ่มตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม – 31 สิงหาคม 2564 นี้

"ร่วมด้วย ช่วยเปย์" คุณช่วยสั่ง เราช่วยจ่าย สั่งอาหารผ่าน Grab หรือ LINE MAN

 *   จ่ายผ่านบัตรเดบิต/บัตรเครดิตกสิกรไทย, บัตรเดบิต LINE BK หรือ GrabPay Wallet
 *   ใส่โค้ด: KBANK
 *   กสิกรไทยช่วยจ่ายมื้ออร่อยให้สูงสุด 100 บาท/ออเดอร์ เมื่อสั่งขั้นต่ำ 100 บาท/ออเดอร์
 *   จำกัดท่านละ 2 สิทธิ์ต่อแอปพลิเคชัน ตลอดแคมเปญ สิทธิ์มีจำนวนจำกัดต่อวัน